xs
xsm
sm
md
lg

ตร.ยังบ้อท่าเอาผิดโอเกะโหด-เหยื่อ นศ.โผล่เป็นพยาน ชี้กรรโชกทรัพย์

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์ ใจเที่ยง โชว์บิลค่าบริการของร้าน
เหยื่อ “เมโลดี้คาราโอเกะ” เข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวนเพิ่ม ระบุถูกพนักงานของร้านบังคับให้กดเงิน แถมยึดโทรศัพท์มือถือ ด้านนักศึกษา ป.โทเห็นข่าวเข้าร้องถูกร้านโอกะคิดราคาเกินจริงเหมือนกัน ตร.ชี้ร้านคาราโอเกะโหดไม่ได้ขอเปิดเป็นสถานบริการ พ.ร.บ.สถานบริการ ตร.จึงไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ ส่วนสภาทนาย แนะเหยื่อฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคเรียงเงินคืนได้ 5 เท่า เข้าข่ายกรรโชกทรัพย์

วันนี้ (21 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.45 น. ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์ ใจเที่ยง อายุ 42 ปี พร้อม น.ส.อารีวรรณ สาธรรม อายุ 43 ปี แฟนสาว เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สุรพล ขาวคม พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ประชาชื่น เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม กรณีถูกร้านคาราโอเกะ “เมโลดี้” ย่านประชาชื่น เรียกเก็บค่าบริการแพงเกินเหตุ เป็นเงินกว่า 30,000 บาท หลังต่อรองจนเหลือประมาณ 16,000 บาท แถมทางร้านยังข่มขู่ไม่ยอมให้ออกจากร้านหากไม่จ่ายเงิน

เหยื่อ ร.ต.ต.เข้าให้ปากคำเพิ่ม
ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์ กล่าวว่า วันนี้ตนได้เดินทางเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม และพร้อมทั้งชี้ตัวพนักงานของร้านคนที่ล็อกตนกับแฟนสาวไว้ รวมทั้งคนที่แย่งโทรศัพท์ เงินสด และพนักงานคนที่ล็อคห้องไม่ให้ตนออก หลังจากที่ได้แจ้งความไว้แล้ว เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยก่อนเกิดเหตุ เมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 19 ต.ค. ตนกับแฟนได้เข้าไปเที่ยวที่ร้านดังกล่าว โดยนัดน้องสาวไว้ด้วย แต่น้องสาวไม่ว่างจึงไม่ได้มาด้วย เมื่อเข้าไปที่ร้านก็มีเด็กที่ร้านพาขึ้นไปนั่งในห้องคาราโอเกะที่ชั้น 2 ระหว่างนั้นตนไม่มีเงินสดติดตัว จึงได้ให้เด็กที่ร้านพาไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มใกล้ๆ กับร้านออกมา 7,000 บาท ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องคาราโอเกะ

ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์ กล่าวต่อว่า เมื่อเข้าในห้องตนก็สั่งเหล้า อาหาร และเครื่องดื่ม พร้อมกับเรียกเด็กมานั่งคุย 2 คน จากนั้นก็นั่งร้องเพลงไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มีเด็กเดินเข้าเดินออกที่ห้องอยู่หลายคน จนตนเกิดความรำคาญ บอกให้ปิดห้อง แต่ทางร้านก็ไม่ได้ปิดให้ จนเวลาประมาณ 23.30 น.ก็เรียกเช็คบิล แต่ปรากฎว่า ค่าบริการแพงถึง 30,000 บาท ตนก็บอกว่ามันแพงเกินไป จริงๆ ไม่น่าถึงขนาดนั้น จึงได้เรียกมาม่าซังเข้ามาคุย และยอมต่อรองราคาจนเหลือ 16,350 บาท แต่ตนก็ยังไม่ยอมจ่าย เพราะมันยังแพงอยู่ดี

เผยถูกล็อกตัวบังคับกดเงิน-ยึดโทรศัพท์
“จากนั้นก็มีพนักงานในร้าน 5 คน เป็นผู้ชาย 3 หญิง 2 เข้ามาคุมตัวผมไว้ และบังคับให้ผมจ่ายค่าใช้บริการทั้งหมด ถ้าไม่จ่ายก็จะไม่ให้ออกจากร้าน โดยเด็กที่ร้านคนที่พาผมไปกดเงินตอนแรก ก็บอกว่าเห็นในบัญชีธนาคารยังมีเงินอยู่อีกตั้ง 3 หมื่น ถ้าไม่ให้จะค้นตัว แถมยังพูดขู่ด้วยว่า คนอื่นที่มากินหมดไป 9 หมื่น ยังยอมจ่ายเลย ผมเลยตัดปัญหากะว่าจะจ่ายแค่ 3 พัน แล้วควักเงินออกมาจะจ่ายให้ แต่พนักงานคนหนึ่งกลับคว้าไปทั้งหมด 7 พัน ผมก็จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่พนักงานก็แย่งไป แฟนผมเลยหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ก็โดนแย่งไปอีกเครื่อง แล้วขู่ผมว่า ตอนนี้มีอะไรเอาออกมาก่อน” ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์ กล่าว

ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์ กล่าวอีกว่า จากนั้นพนักงานที่ร้านก็ถามว่า ตนมีบัตรอะไรที่สามารถกดเงินได้หรือเปล่า ตนจึงหยิบบัตรเดบิตวีซ่าออกมา ยื่นให้กับพนักงานไปกดเงินมา แล้วพนักงานคนดังกล่าวก็กลับมาพร้อมกับเงินจำนวน 8,000 บาท ก่อนจะปล่อยตัวตนและแฟนสาวออกมา หลังจากนั้นตนจึงเดินไปขอเหรียญที่ร้านก๋วยเตี๋ยวย่านนั้น เพื่อโทรแจ้ง 191 แล้วเดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.ประชาชื่น ดังกล่าว

เหยื่อ ป.โทโผล่เข้าร้องถูกโอเกะโหดเรียกเก็บเกินจริง!
ต่อมาเวลา 12.30 น.นายกอล์ฟ (นามสมมติ) อายุ 30 ปี พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง และนายต่าย (นามสมมติ) อายุ 30 ปี นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง สองผู้เสียที่เคยหลงเข้าไปใช้บริการร้านคาราโอเกะสุดโหดแห่งนี้ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สุรพล ขาวคม พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ประชาชื่น เจ้าของคดี เพื่อให้ปากคำในฐานะพยาน โดยไม่ติดใจเอาความแจ้งความดำเนิคดีกับทางร้านแต่อย่างใด

ผู้เสียหายทั้งสองคน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่าน เวลา 22.10 น.พวกตนออกจากร้าน LIZM ริมถนนรัชดาภิเษก เพื่อจะออกไปหาร้านนั่งต่อ จนผ่านมาเจอร้านคาราโอเกะดังกล่าว เลยเข้าไปสอบถามที่ร้านว่า ถ้าเอาเหล้ามาเองจะเสียค่าเปิดเหล้าหรือไม่ ซึ่งทางร้านก็บอกว่า ไม่เสียค่าเปิดเหล้า แต่ต้องเข้ามาสั่งอาหาร 3 อย่างขึ้นไป ในราคาเกิน 500 บาท พร้อมทั้งจ่ายค่าห้องคาราโอเกะอีกชั่วโมงละ 200 บาท และต้องเรียกเด็กนั่งดริงค์มานั่งเป็นเพื่อนในราคา 200 บาท ต่อ 1 ดริงค์ หรือ 30 นาที

เหยื่อทั้งสองคนเปิดเผยต่อว่า พวกตนก็ตัดสินใจเข้าไปนั่งใช้บริการที่ร้าน มีเด็กนั่งดริงก์บางคนหมุนเวียนกันเดินเข้ามาในห้องเพื่อกดเพลงให้บ้าง บางคนก็เข้ามาพูดคุยด้วยถามชื่อ รวมทั้งยังมีมาม่าซังเข้ามาคอยให้บริการพวกตนอีกด้วย พวกตนก็คิดว่า เป็นบริการของทางร้าน จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 01.00 น. พวกตนก็เรียกเช็กบิล แต่พอทางร้านนำบิลค่าบริการมาให้ก็ต้องอึ้ง เพราะค่าบริการทั้งหมดสูงถึง 16,000 บาท

แฉค่าบริการโคตรแพง
“เท่าที่พวกผมจำได้ ก็มีมิกเชอร์ 45 ขวด ราคารวม 2,250 บาท ค่าอาหารประมาณ 800 บาท ค่าเด็กนั่งดริงก์ที่เรียกมา 2 คน รวม 4,400 บาท แต่มีเด็กนั่งดริงก์เพิ่มมาในบิลอีก 2 คน รวมเงิน 2,000 บาท นอกจากนี้ยังมีค่าอีกอื่นๆ อีก เช่น ผ้าเย็น 4 ผืน 200 บาท ลูกอม 4 จาน จานละ 100 บาท รวม 400 บาท รวมทั้งค่าน้ำส้มอีก 15 แก้ว แต่จำจำนวนเงินไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ซึ่งตอนแรกพวกผมคิดว่าค่าน้ำส้มน่าจะรวมอยู่ในค่านั่งดริงก์อยู่แล้ว แถมยังมีค่ามาม่าซังอีก 2 คน รวม 2,400 บาท” ผู้เสียหายกล่าว

ผู้เสียหายกล่าวต่อว่า พอเห็นบิลมาแบบนี้พวกตนก็พยายามเรียกมาม่าซังมาขอเจรจาว่าทำไมค่าบริการมันแพงโหดร้ายแบบนี้ พอเรียกมาก็มีเด็กนั่งดริงก์ 2 คน มาม่าซัง 2 คน และชายฉกรรจ์อีก 2 คน มายืนคุมเชิงพวกตนไว้ไม่ให้ออกจากห้อง จากนั้นมาม่าซังก็พยายามแจกแจงรายละเอียดให้ฟัง พร้อมอ้างว่าถ้าลูกค้าไม่จ่าย เด็กนั่งดริงก์ก็ต้องจ่ายเอง พวกตนก็พยายามเจรจาต่อรองขอออกไปหาเพื่อนเพื่อเอาเงินมาจ่าย แต่ทางร้านไม่ยอม พวกตนก็เลยยอมควักเงินจ่ายให้ไป 8,000 บาท แต่ทางร้านจะขอเก็บเพิ่มอีก พวกตนก็ขอเจรจาอีกรอบ เพื่อจะออกไปหาเพื่อน แต่ทางร้านก็ไม่ยอมเหมือนเดิม พร้อมบอกว่าให้เอาบัตรเครดิตหรือบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินสดมาจ่าย โดยทางร้านจะพานั่งรถจักรยานยนต์ออกไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มเอง

ผู้เสียหายรายนี้ระบุต่อว่า พวกตนไม่มีเงินในบัญชี จึงยอมเอาโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย รุ่น E63 วางจำนำไว้ก่อน ซึ่งทางร้านก็ตีราคาให้ 7,000 บาท พร้อมบอกว่าให้เวลาอีก 3 วัน เพื่อหาเงินมาไถ่โทรศัพท์คืนไป ก่อนจะยอมปล่อยพวกตนกลับออกมา หลังจากนั้นพวกตนก็เอาเรื่องไปปรึกษาอา ก่อนจะกลับไปที่ร้านอีกครั้งเพื่อไถ่โทรศัพท์คืน พร้อมทั้งขอดูบิลค่าบริการทั้งหมดอีกครั้ง ซึ่งอาตนก็เจรจาขอตัดจำนวนเงินค่าบริการที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปบางส่วน จนเหลือยอดค้างประมาณ 4,500 บาท แต่เห็นว่ายังสูงเกินไปอีก จึงขอให้อาช่วยเจรจาอีกครั้ง จนทางร้านยอมลดให้เหลือ 3,000 บาท พวกตนจึงยอมจ่ายและเอาโทรศัพท์มือถือคืนมา

“ตอนแรกตั้งใจจะไปแจ้งความเอาเรื่อง แต่เมื่อศึกษาเรื่องแบบนี้ทางอินเทอร์เน็ตแล้วก็พบว่า มีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นเยอะ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด พวกผมก็เกรงว่าถ้าแจ้งความแล้วจะเอาผิดอะไรไม่ได้ ก็เลยไม่ได้แจ้งความ จนกระทั่งวันนี้เห็นข่าวทางหนังสือพิมพ์ และพบว่าเป็นร้านเดียวกันกับที่พวกผมเจอมากับตัวเอง เลยตัดสินใจเข้ามาให้ข้อมูลในวันนี้ เพราะกลัวว่าจะมีคนอื่นหลงไปใช้บริการแล้วโดนแบบพวกผมอีก” ผู้เสียหายทั้งสองคนกล่าว

ออกหมายเรียก พนง.ร้านสอบ - จ่อแจ้งข้อหา “กรรโชกทรัพย์-กักขัง”
ด้าน พ.ต.ท.สุรพล กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ ขณะนี้ได้สอบปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติมในส่วนที่ยังสอบไม่ครบ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายเรียกพนักงานงานของร้าน ที่ผู้เสียหายอ้างว่าถูกล็อกตัวและข่มขู่ มาทำการสอบปากคำก่อนแจ้งข้อหา กรรโชกทรัพย์ ส่วนข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวนั้น จะพิจารณอีกครั้งหนึ่ง

ตร.รับจนปัญญาเอาผิด อ้างไม่ได้ขอเปิดเป็นสถานบริการ
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานบริหาร และรับผิดชอบงานพิจารณาต่อใบอนุญาตสถานบริการต่างๆ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ ร.ต.ต.อัฎฐะพันธ์ ใจเที่ยง นายตำรวจนอกราชการกับแฟนสาวเข้าไปใช้บริการร้าน “เมโลดี้ คาราโอเกะ” ตั้งอยู่บริเวณริมถนนงามวงศ์วาน แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. โดยสั่งอาหารและร้องเพลง 3 ชั่วโมง เมื่อทางร้านเช็กบิลออกมามียอดรวม 3 หมื่น จนลมแทบจับ ก่อนที่จะต่อรองจ่ายไป 16,350 บาทว่า ในกรณีที่ลูกค้าผู้เข้าไปใช้บริการเจอร้านคิดค่าบริการสูงเกินกว่าปกติทั่วไป จะต้องแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เกิดเหตุ ถ้าร้านนั้นเป็นสถานบริการที่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.สถานบริการ เราก็สามารถใช้กฎระเบียบของ พ.ร.บ.สถานบริการเข้าไปบังคับใช้ได้เลย ถ้ามีการแจ้งความดำเนินคดี เรามีมาตรการลงโทษด้วยการพักใช้ใบอนุญาต แต่ถ้าเป็นสถานประกอบการที่เลี่ยงไม่จดทะเบียนเป็นสถานบริการ บช.น.เราก็มีคำสั่งให้ท้องที่เข้มงวดกวดขันจับกุม ไม่ว่าเรื่องการเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือเปิดเกินเวลา

รอง ผบช.น.กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเราพบว่ามีหลายแห่งหลีกเลี่ยงโดยวิธีการต่างๆ เช่น เคยมีใบอนุญาตฯ แล้วยกเลิกไม่ใช้ใบอนุญาตสถานบริการ มาเปิดขายทั่วไป อ้างว่าปิดเที่ยงคืนเป็นลักษณะร้านอาหารธรรมดาได้ โดยไม่ต้องเสียอะไร ถ้าขายเหล้าเบียร์ก็เพียงแค่เสียค่าสรรพสามิตรจำหน่ายบุหรี่-สุรา ผู้ประกอบการเลี่ยงบาลีหนีออกจาก พ.ร.บ.สถานบริการ ซึ่งมีมาตรการที่ยุ่งยากมากกว่า ดังนั้น ประชาชนผู้ที่จะไปใช้บริการร้านในลักษณะดังกล่าว ก่อนเข้าไปควรต้องสังเกตดูว่า ร้านนั้นได้จดเป็นสถานบริการหรือไม่

“สำหรับร้านเมโลดี้ ผมได้สั่งให้ สน.ประชาชื่น ตรวจสอบแล้วรายงานขึ้นมาให้ทราบว่า ขออนุญาตเปิดเป็นสถานบริการตาม พ.ร.บ.สถานบริการหรือไม่ เท่าที่รับรายงาน ทราบว่าร้านดังกล่าวไม่ได้ขอเป็นสถานบริการตาม พ.ร.บ.สถานบริการ” พล.ต.ต.สุพรกล่าว

พล.ต.ต.สุพร กล่าวต่อว่า ร้านต่างๆ ที่เปิดโดยไม่ขออนุญาตฯ ใน กทม.มีมาก ไม่ว่าจะเป็นร้านคาราโอเกะริมถนน ปัญหาคือการก่อความเดือดร้อนรำคาญ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ปล่อยปละละเลย เพียงแต่การบังคับตามกฎหมายสถานบริการใช้บังคับร้านเหล่านี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ละเลยใช้วิธีการปรามด้วยการตรวจสอบด้านอื่นแทน เช่น กวดขันในเรื่องการจำหน่ายสุรา เวลาปิดร้านต้องไม่เกิน 24 นาฬิกา แต่ร้านลักษณะนี้เมื่อถูกดำเนินคดีวันนี้ พอวันพรุ่งนี้เขาก็เปิดได้ ไม่สามารถลงโทษหรือใช้มาตรการด้านปกครอง พักใช้ใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ ที่มีกำหนดปิด 60 วันได้ เป็นต้น

สภาทนายชี้ โอเกะโหดโทษหนักถึงติดคุก
นายเสงี่ยม บุญจันทร์ เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า พฤติการณ์ของทางร้านที่เรียกเก็บค่าอาหารและบริการสูงถึง 30,000 บาท โดยมีการกักขังหน่วงเหนี่ยวตัวผู้เสียหายไว้เพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์สิน พร้อมข่มขู่ว่าถ้าไม่ยอมจ่ายจะไม่รับรองในสวัสดิภาพ ถือว่าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337 ซึ่งมีโทษจำคุกไมเกิน 7 ปี ส่วนการเรียกเก็บเงินค่าอาหารและบริการสูงโดยไม่มีการติดป้ายราคา ถือเป็นการล่อลวงเป็นกลอุบายหรือหลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อเท็จริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยการหลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกเป็นความผิดฐานฉ้อโกง มีโทษจำคุกถึง 3 ปี ส่วนพนักงานเอาโทรศัพท์มือถือผู้เสียหายไปแม้จะนำมาคืนภายหลังก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว เพราะเป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ตามมาตรา336 มีโทษจำคุกถึง 5 ปี

แนะเหยื่อฟ้องเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์
“คุณมีอำนาจอะไรไปกักขังหน่วงเหนี่ยว ล้อมกรอบบังคับให้เขาจ่ายเงิน อย่างนี้กรรโชกทรัพย์ชัดๆ จะอ้างว่าเขาเรียกผู้หญิงมานั่งดริงก์ถึง 7 คน มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเขาเอาแฟนเขามาด้วยจะเรียกผู้หญิงอื่นมานั่งทำไม” นายเสงี่ยมกล่าว และว่า “ร้านพวกนี้ต้องให้ สคบ.จัดการ โดยเฉพาะเรื่องราคาที่สูงเกินจริง ส่วนจะเรียกค่าเสียหายให้ไปฟ้องศาลแพ่งเป็นคดีคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งสามารถเรียกร้องค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ 5 เท่า ศาลท่านก็ใช้เวลาพิจารณารวดเร็ว และสะดวก ผู้เสียหายมาพบกรรมการคุ้มครองสิทธิ์ ที่สภาทนายความเพื่อร้องทุกข์ เราจะจัดคณะทนายความสอบข้อเท็จจริงแล้วรับว่าคดีให้จนจบ ส่วนตำรวจบอกว่าราคาอาหารปกติ ผมว่าตำรวจก็ดูแลท้องที่อยู่ตรงที่ตั้งร้านนั้น ก็เลยพูดไปอย่างนั้น” เลขาธิการสภาทนายความ กล่าว

ตร.ประสาน สคบ.สอบคาราโอเกะหน้าเลือดโขก 3 ชม.3 หมื่น!
ร้านอาหารสุดโหด! นั่ง 3 ชั่วโมงเก็บตังค์ 3 หมื่น
กำลังโหลดความคิดเห็น