xs
xsm
sm
md
lg

พรปีใหม่ 2553 แห่งศาสนิกสัมพันธ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พระพรปีใหม่ 2553
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

---------------------

โลกจะมีสันติภาพเพราะเมตตายิ่ง
ปีใหม่แล้ว ทุกคนขอให้เริ่มแก้ที่ตัวเองก่อน
แก้ที่ใจวุ่นวาย เร่าร้อนด้วยอำนาจจิตของกิเลส
ให้กลับเป็นใจที่สงบเย็นบางเบาจากกิเลส
ที่เคยโลภมาก ก็ให้ลดลงเสียบ้าง
ที่เคยโกรธแรง ก็ขอให้โกรธเบาลง
ที่เคยหลงจัด ก็ขอให้พยายามใช้สติปัญญา
ตนเองจะเป็นผู้สงบเย็นก่อน
ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความสงบเย็น
กว้างขวางออกไป อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
โลกเย็น เพราะเมตตายิ่ง
โลกร้อน เมตตาหย่อน
นี้เป็นความจริงที่ควรยอมรับและควรแก้ไข
อันการแก้นั้นก็ต้องไม่ไปแก้ผู้อื่น
ต้องแก้ที่ตัวเอง แก้ตัวเองให้ยิ่งด้วยเมตตา
หรือให้มีเมตตายิ่งขึ้นนั่นเอง
เมื่อมีเมตตาอย่างจริงใจแล้ว จะเป็นเหตุให้เกิดผลงานมากมาย
เป็นคุณทั้งแก่ผู้รับ และเป็นคุณทั้งแก่ผู้ให้.

ขออำนวยพร

วัดบวรนิเวศวิหาร

คำอวยพร
ของ
อับดุลการีม (อรุณ) วันแอเลาะ
รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
(ผู้แทนจุฬาราชมนตรี)

ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2553


เนื่องในวโรกาสวันขึ้นปีใหม่ ปีพุทธศักราช 2553 ที่เวียนมาสัมผัสกับชีวิตของชาวโลก เพราะเป็นปีใหม่สากล ผมนายอรุณ วันแอเลาะ ในนามผู้แทนจุฬาราชมนตรี ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นประมุขฝ่ายศาสนจักรในประเทศไทย ขออวยพรให้พี่น้องชาวไทยทุกท่านมีความเข้มแข็ง ร่วมกันใช้ความรัก ความสามัคคีและความมีสมานฉันท์ให้เกิดประโยชน์ ช่วยกันแสดงความรักในบูรณภาพแห่งดินแดน และความมีอธิปไตยของเราทุกคน เพื่อความผาสุข ความร่มเย็น ความสุข ความสดชื่น แก่พี่น้องชาวไทยโดยทั่วกัน

นั่นคือสิ่งที่ขอวิงวอนจากพระผู้เป็นเจ้า ให้ได้โปรดประทานพรให้ พี่น้องชาวไทย ศาสนิกชน ที่เป็นพสกนิกรขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกศาสนา ได้มีความเคร่งครัดต่ออภิธรรมของแต่ละศาสนา เพราะเชื่อว่าด้วยการที่เรามีความเคร่งครัด เราจะได้ร่วมแรงร่วมใจกัน สร้างชาติ สร้างบ้านเมืองให้มีความสุขตลอดไปและตลอดไป

ถือเป็นความโชคดีของชาวไทย ที่เราให้ความสำคัญของศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ซึ่งเป็นผู้ที่คอยให้การสนับสนุน พสกนิกรของพระองค์ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดทุกคนมีเสรีภาพ

ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ฟันธงไปได้เลย คือให้สาธุชนของทุกศาสนาได้มีความเคร่งครัดต่ออภิธรรมหรือธรรมะอันยิ่งใหญ่ของแต่ละศาสนา และการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดในศาสนาที่ตนนับถืออยู่ โดยมุมมองของอิสลามในเรื่องนี้ กับคำสอนโดยภาพรวม ให้ปฏิเสธก่อน ค่อยยอมรับ จึงห้ามไม่ให้ปฏิบัติตัวในรูปวจีกรรม มโนกรรม และพฤติกรรมที่เป็นการให้ร้ายต่อผู้อื่น ส่วนการปฏิบัติทั้งหมดจะเป็นเหมือนกันอุตสาหกรรม รังสรรค์ให้บุคลิกภาพหรือการแสดงออกซึ่งจะส่อให้เกิดและผลักดันให้เกิดสันติภาพ ผมมีความเชื่อว่าถ้าพสกนิกรของพระองค์ในทุกศาสนา เคร่งครัดในศาสนาของตัวเอง พยายามมีศีล ไม่ปฏิบัติศีลต้องห้าม ทำให้ได้ และปฏิบัติในสิ่งที่ศาสนาใช้ เพียงเท่านี้ความเป็นหนึ่งเดียวจะเกิดที่ปลายทางของเส้นทางที่เรากำลังเดินอยู่ และความสามัคคี ความรักความสมานฉันท์ก็จะเกิดขึ้น

ปีใหม่นี้ จริงๆ แล้วเราต้องเหลียวหลังและหน้ า เพราะชีวิตของคนที่จะมีพัฒนาการที่ดี หรือเป็นบุคคลที่ได้รับความสำเร็จนั้น มักจะเอาชีวิตของตนเองในอดีตนั้น มาพิจารณาว่าอะไรที่มันบกพร่อง ก็ทำให้เกิดความสมบูรณ์ อะไรที่เกิดความสมบูรณ์ก็ให้รักษาไว้ หรือทำให้ดีกว่ามากที่เป็นอยู่นั้น คือถ้าหากว่าวันเวลาที่ผ่านมา เราปล่อยโดยไม่คำนึงถึงพัฒนาการในทางที่ดี ชีวิตของเราก็จะอยู่กับที่ แต่วันเวลาได้ผ่านไป ผมจึงอยากให้เป็นข้อมูลสรุปว่า เราทุกคนต้องทำวันนี้ วันขึ้นปีใหม่ ให้ดีไปกว่าวันวาน คือปีที่ผ่านมา และทำวันนี้ให้พรุ่งนี้ อันได้แก่ปีใหม่นี้ ดีกว่าวันนี้ เพราะวันที่เราทำได้คือวันนี้ ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต ทำวันนี้ให้ดีกว่าวันวาน ทำวันนี้ให้พรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้ ผมว่ามันเป็นข้อมูลในเชิงทฤษฎีที่จบแน่นอน และสามารถให้ความชัดเจนได้

คำอวยพร
ของ

พระอัครสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช
มุขนายกมิสซังโรมันคาทอลิกกรุงเทพฯ
โอกาสวันพระคริสตสมภพและวันขึ้นปีใหม่ 2553
____________________________


เจริญพรมายัง พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย

ในนามของพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่มีโอกาสร่วมชื่นชมยินดี และประทานพร เนื่องในวันพระคริสตสมภพและวันปีใหม่ พ.ศ. 2553

ก่อนอื่น ข้าพเจ้าขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย โปรดตั้งจิตอธิษฐานวอนขอพระผู้เป็นเจ้า โปรดอวยพระพรอันอุดมแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ขอทรงพระเกษมสำราญ คลาดแคล้วภัยพิบัติ อุปัทวันตราย ทุกทิวาราตรี เพื่อทรงเป็นศรี เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป

คริสตสมภพ หรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า ‘วันคริสต์มาส’ เป็นเทศกาลที่ผู้คนให้ ‘ของขวัญ’ แก่กันและกัน และตามความเชื่อของคริสตชน ของขวัญประเสริฐสุดที่มนุษยชาติได้รับคือ ‘พระกุมารเยซู’ ผู้ทรงเป็นองค์ความรักเมตตา ที่พระบิดาเจ้าโปรดประทานแก่พวกเราทุกคนในค่ำคืนวันพระคริสตสมภพครั้งแรก

ดังนั้น ในวันคริสตสมภพปีนี้ ขอเชิญชวนคริสตชนทุกคน และพี่น้องชาวไทยทุกท่าน ผู้เชื่อมั่นใน ‘วัฒนธรรมแห่งความรัก’ ทำให้ชีวิตของพวกเราแต่ละคนเป็น ‘ของขวัญ’ แห่งความรักเมตตาต่อบุคคลรอบข้าง ในครอบครัว ในแวดวงการงานอาชีพ และในชุมชนที่เราอยู่ เพื่อคนอื่นๆ อีกหลายคนจะได้สัมผัสความรักของพระเจ้า จากชีวิตและการกระทำของเรา และพวกเขาก็จะเชื่อในความรักและตอบรับรักนั้น จนเกิดมีความรักและความเอื้ออาทรต่อกัน ในครอบครัวของเรา ในชุมชนที่เราอยู่ และดังนี้ “ที่ใดก็ตาม ที่มีสองสามคน อยู่รวมกันในนามของเรา” (พระเยซูคริสตเจ้าตรัสไว้เช่นนั้น) “เรา(พระเยซู)อยู่ที่นั่นท่ามกลางพวกเขา” (มธ.18,20) พระเยซูคริสตเจ้าผู้เป็นองค์ความรักของพระเจ้าจะประทับท่ามกลางชุมชนที่มีความรัก ความเอื้ออาทร และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ดังนี้ เราทุกคนจะมีส่วนร่วมปลูกฝัง ‘วัฒนธรรมแห่งความรัก’ ลงในโครงสร้างของชุมชนที่เราอยู่ ทีละเล็กทีละน้อยชุมชนของเราจะกลับกลายเป็น ‘ของขวัญ’ แก่สังคมรอบข้างในวงกว้างขึ้น ผู้คนในสังคมจะเชื่อมั่น และดำเนินชีวิตตามแนวทาง ‘วัฒนธรรมแห่งความรัก’ มากขึ้น สังคมไทยของเราจะมีความสงบสันติตลอดไป

‘สุขสันต์วันคริสตสมภพและปีใหม่ 2553’ แก่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

ขออำนวยพร

( พระอัครสังฆราช ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช )
ประมุขแห่งอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

คำอวยพรปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช 2553
ของ
พระราชครูวามเทพมุนี
หัวหน้าคณะพราหมณ์


สำหรับในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นก็ถือเป็นอุทาหรณ์ที่ดี ที่จะทำให้เราสามารถเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความไม่ประมาท การที่เราจะดำรงชีวิตหรือปฏิบัติจิตของเราให้เดินไปข้างหน้าด้วยความเจริญรุ่งเรือง จะต้องมีหลักในการปฏิบัติของศาสนาเป็นเครื่องประคองจิตใจไม่ให้ตกอยู่ในอบายหรือสิ่งที่ผิดศีลธรรม โดยเราอาจจะทำได้ด้วยการนำจิตวิญญาณของเราไปปฏิบัติตามแนวของพระศาสนา หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องรักษาศีล 5 ให้มั่นคง แต่การที่เราจะทำความดีได้นั้น มักจะต้องมีแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นเสียก่อน ซึ่งแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นที่ดีที่สุด ก็คือ 'ผู้ใหญ่' โดยผู้ใหญ่ในที่นี้ก็หมายถึงพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ครูอาจารย์ ที่ต้องประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนและสังคม เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นว่าการที่เรามีพระศาสนา มีศีล มีการปฏิบัติธรรมอยู่ในใจนั้น จะช่วยนำพาชีวิตของเราให้รอดพ้นจากอุปสรรคและภัยทั้งปวง

หลักคิดในทางศาสนาของ 'พราหมณ์' นั้น เรามุ่งให้เกิดความสุขสันติ คำสวดของพราหมณ์ที่กล่าวอยู่เสมอ ก็คือ 'โอม ศานติ' ซึ่งหมายถึงความสงบ หรือความสุขที่ไม่มีกิเลส หรือความโลภ โกรธ หลง มาเจือปน เพราะฉะนั้น คำว่า 'โอม ศานติ' จึงเป็นคำภาวนาทางศาสนาพราหมณ์ที่บอกให้รู้ถึงจิตวิญญาณของเราว่า ในขณะนี้ เราได้เข้าสู่ความสงบและไม่ตกอยู่ในอบาย โลภ โกรธ หลงแล้ว และเมื่อเรามีความสงบก็จะส่งผลให้เรามีสติและเกิดเป็นปัญญาในที่สุด พระศาสนาจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับศาสนิกชนหรือผู้ที่ใฝ่รู้ที่จะได้รับและนำไปปฏิบัติต่อไป

สำหรับหลักคิดง่ายๆ ในการต่อสู้กับอะไรก็ตาม เราต้องใช้กำลังความรู้เป็นที่ตั้ง สมมติว่าหากเรามีความทุกข์ที่เกิดจากความหิว เราก็ต้องคิดหาหนทางที่จะต่อสู้กับความหิวอย่างไร หากเราไม่มีความรู้ เราก็จะไม่สามารถชนะความหิวได้ แต่ถ้าเรามีความรู้ เราก็จะรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานอาหารแล้ว ความหิวนั้นจะหายไปเอง โดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้หรือทำร้ายใคร เช่นเดียวกัน การที่เราจะมีมิตร เราต้องปรับจิตของเราให้อยู่ในความสงบหรือมีศานติในหัวใจ เมื่อปรับได้แล้ว ศัตรูทั้งหลายจะหายไปเอง มีแต่มิตรเท่านั้นที่จะเกิดขึ้น หมายความว่าจิตของเราเข้าสู่ความสงบจึงไม่คิดทำร้ายตนเองและผู้อื่น สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ เกิดจากการที่เรามุ่งแต่ภายนอกมากเกินไป จนไม่ได้กลับเข้ามาหาภายใน

ดังนั้น หากเราต้องการให้ชีวิตของเรามีความสุขหรือความร่มเย็น ก็จงปฏิบัติกาย-ใจให้เข้มแข็งพอที่จะต่อสู้กับกิเลสทั้งปวง และพร้อมที่จะเดินตามแนววัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา เพื่อที่ชีวิตในปีใหม่นี้จะได้มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองปฏิบัติตนด้วยความไม่ประมาท

ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ ขอให้ทุกท่านจงตั้งใจปฏิบัติตนเองด้วยความสงบสันติปฏิบัติหน้าที่การงานใดก็ตามก็ขอให้ประสบพบแต่ความเจริญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

โอม ศานติ ศานติ ศานติ

พระราชครูวามเทพมุนี
(หัวหน้าคณะพราหมณ์)

สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา
สถาบันศาสนาซิกข์แห่งประเทศไทย


ในศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่นี้ ในนามของชาวไทยซิกข์ทุกคน ขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญ และหายจากอาการประชวรโดยเร็วไว พร้อมกันนี้ขออวยพรให้ชาวไทยทุกคนมีความสุขความเจริญ สุขกาย สบายใจ และขอให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมอันจะนำมาซึ่งความเข้มแข็ง มั่นคงและมั่งคั่ง ไม่เพียงแต่ของตัวเอง หากแต่ทั้งของสังคมและประเทศชาติด้วย

ขอขอบคุณและสวัสดีปีใหม่

(นายมานิต สัจจะมิตร)
กรรมการบริหารอาวุโส


ทะไลลามะ องค์ที่ 14 เทนซิน เกียตโซ
ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตและชาวโลก ได้กล่าวข้อแนะนำในการดำเนินชีวิตและการทำงาน ไว้ดังนี้

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ย่อมต้องต้องประสบกับความเสี่ยงอัน
มหาศาลดุจกัน

2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน

3. จงปฏิบัติตาม หลัก 3 Rs
- เคารพตนเอง (Respect for self )
- เคารพผู้อื่น (Respect for others )
- รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions )
 
4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตน บางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์

5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม

6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ

7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข

8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน

9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป

10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด

11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง

12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต

13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต
 
14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ

15. จงสุภาพกับโลกใบนี้

16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง
 
17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรัก มิใช่ความใคร่

18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ

19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16
ประมุขสูงสุดแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรงประทานพร ‘อูร์บิ เอ็ด ออร์บิ’ (Urbi et Orbi) หรือที่เรียกว่า ‘แด่โรมและโลกง เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 25 ธันวาคม ปี 2552 จากระเบียง มหาวิหารนักบุญเปโตร จตุรัสเซนต์ปีเตอร์ นคร วาติกัน
ซึ่งสาสน์มีใจความโดยรวมดังนี้คือ

มนุษย์ทุกคนต้องประกาศความหวังให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความหวังนี้ เป็นหัวใจของสาส์นวันพระคริสตสมภพ ซึ่งส่องแสงมายังผู้กำลังประสบทุกข์ยากต่างๆ เช่นเดียวกับ ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและความศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าประทานมาให้ ถ้ามนุษย์สนใจแต่เรื่องของตัวเอง โลกก็จะวิบัติอย่างแน่นอน

โดยพระองค์ทรงขอให้บังเกิดสันติภาพ แก่โลกใบนี้ โดยเฉพาะในแถบตะวันออกกลาง ได้แก่ประเทศที่มีความขัดแย้งกันอยู่อย่าง อิสราเอลกับปาเลสไตน์, เลบานอนกับอิรัก รวมไปถึงประเทศในทวีปแอฟริกาที่เกิดสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งทางการเมือง อาทิ ซูดาน, เซเนกัล, ซิมบับเว, โซมาเลีย หรือในภูมิภาคเอเชียเช่น คาบสมุทรเกาหลี, ฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ พระสันตะปาปายังทรงกล่าวถึงประเทศมหาอำนาจซึ่งกำลังประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจด้วย โดยทรงขอให้แสงสว่างในวันพระคริสตสมภพ ส่องนำทางและกระตุ้นให้ทุกคนมีจิตใจแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน

และในตอนท้ายสุดของสาส์นมีใจความดังนี้คือ

ถึงพี่น้องทั้งหลาย ไม่มีของขวัญใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้เป็นส่วนหนึ่งแห่งพระตรีเอกานุภาพ ซึ่งเป็นของขวัญสำหรับมนุษย์ทุกคน จากหัวใจของพระเยซูเจ้า ขอพระเจ้าจงสถิตย์อยู่กับเรา ณ โลกนี้ เหมือนดั่ง คนเลี้ยงแกะแห่งนครเบธเลเฮม ขอพวกเราจงไตร่ตรอง และเติมเต็มด้วยความมหัศจรรย์และความกตัญญู ซึ่งนี่ถือเป็นความรักและแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์จากพระผู้เป็นเจ้า สุขสันต์วันคริสตสมภพแด่ทุกคน

พระสันตะปาปายังทรงกล่าวอวยพรวันคริสต์มาสเป็นภาษาต่างๆ ทั้งสิ้น 64 ภาษา โดย พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตรัสอวยพรเป็นภาษาไทยว่า
"สุขสันต์วันคริสตสมภพ แด่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกคน"
กำลังโหลดความคิดเห็น