xs
xsm
sm
md
lg

จีนพลิกวิกฤต ก้าวสู่มหาอำนาจเศรษฐกิจโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สื่อจีนต่างจับตาวิกฤตการเงินโลก
ปีหน้าอ่วม วิกฤตการเงินโลกซัดหนัก ทูตจีนชี้เศรษฐกิจจีนผูกพันโลก มีผลกระทบแน่ แต่ย้ำจีนยังแข็งแกร่ง

ในการสัมมนาเรื่อง “จีนกับการกอบกู้วิกฤตการเงินโลก” ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์จีนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ฯพณฯ จางจิ่วหวน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้กล่าวในปาฐกาถาว่า เศรษฐกิจจีนวันนี้เมื่อเทียบกับช่วงหลังเปิดประเทศ ปี 1978 ถือว่าก้าวกระโดดอย่างมาก เช่น GDP เพิ่มขึ้น 17 เท่า การค้าระหว่างประเทศเมื่อปีที่แล้วก็มีมูลค่าสูงถึง 2.17 ล้านล้านเหรียญ หรือถือเป็นอันดับสามของโลก ทำให้จีนมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับโลกมากขึ้น

“ก่อนเปิดประเทศ GDP ของจีนมีสัดส่วนแค่ 1% ของโลกแต่ขณะนี้อยู่ในระดับ 5% เศรษฐกิจจีนเกื้อหนุนโลกมากกว่า 10% จีนวันนี้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 3 ของโลก" ทูตจางจิ่วหวน กล่าว

ทูตจีนประจำประเทศไทย ยังพูดถึงความกังวลที่ว่าหลังกีฬาโอลิมปิค เศรษฐกิจจีนจะซบเซาลงนั้นว่า กีฬาโอลิมปิคไม่มีผลต่อเศรษฐกิจจีนมากนัก เพราะจีนใช้เงินลงทุนในกีฬาโอลิมปิค 42,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเงินกว่า 40,000 ล้านเหรียญใช้เพื่อสร้างสนามกีฬาและสาธารณูปโภค ดังนั้นจึงไม่ถือว่ามีความสิ้นเปลือง

ส่วนประเด็นสำคัญ คือ วิกฤตการเงินโลกส่งผลต่อจีนแค่ไหน ทูตจางจิ่วหวน กล่าวว่า วิกฤตโลกครั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในภาคเมือง ซึ่งรัฐบาลจีนได้เตรียมมาตรการรับมือ คือ รักษาแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจให้มั่นคง และ ควบคุมราคาสินค้าไม่ให้เพิ่มขึ้นรวดเร็วจนเกินไป นอกจากนี้ทางการจีนยังมีความเห็นต่อการรับมือวิกฤตโลกครั้งนี้ในสามเรื่อง คือ หนึ่ง จีนอยากให้ประเทศต่างๆเสริมสร้างความร่วมมือกันอย่างแข็งขัน สอง อยากให้ทุกฝ่ายรักษาความเชื่อมั่น และสาม จีนจะจัดการกิจการของตัวเองให้ดี ซึ่งการรักษาเศรษฐกิจภายในของจีนไม่ให้ผันผวนก็ถือเป็นคุณูปการต่อโลกแล้ว

ทูตจีน ย้ำว่าเศรษฐกิจจีนจะมีแนวโน้มที่ดี และเติบโตอย่างสม่ำเสมอ “การพัฒนาเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมการตลาดของจีน ย่อมอำนวยโอกาสในการพัฒนาแก่ประเทศต่างๆด้วย”

ปีหน้าผันผวนหนัก ต้องเยียวยาปรับตัว เปลี่ยนผ่านสู่ระบบใหม่

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพจำกัด(มหาชน) และอดีตรมว. คลัง ให้สัมภาษณ์ว่า วิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบทั่วโลกในระดับที่ต่างกันไป แต่ปีหน้าจะเป็นช่วงที่เห็นผลกระทบชัดเจน
“การลงทุนจะน้อยลงมาก ต้องมีการปรับตัวและเยียวยา ช่วงปี40 ใช้เวลาหลายปี ครั้งนี้ก็เช่นกัน”

นายโฆสิต ยังตอบคำถามถึงกรณีบริษัท Ferro china บริษัทเหล็กจีน ลูกหนี้รายหนึ่งของธนาคารกรุงเทพซึ่งเพิ่งประกาศพักชำระหนี้และปิดกิจการไป ว่าธนาคารได้ตั้งสำรองไว้แล้ว มูลค่าประมาณ 600 ล้าน จึงถือว่าไม่กระทบสถานะภาพโดยรวมของธนาคาร
“หลังจากนี้เศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบใหม่ ซึ่งยังไม่รู้ว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร ทั้งทางยุโรปและเอเชียก็มีแผนจะหารือร่วมกัน การเคลื่อนย้ายเงินทุนยังคงมีทั่วโลก อยู่ที่ว่าประเทศไหนจะมีศักยภาพมากกว่า” อดีตรมว.คลังกล่าว

นักเศรษฐศาสตร์ชี้จีนปีหน้า GDP เหลือหลักเดียว แต่ยังแข็งแกร่ง

รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน ชี้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบต่อจีนอย่างแน่นอน เพราะเมื่อจีนส่งออกไปยังสหรัฐและยุโรป ซึ่งไปตลาดหลักได้น้อยลง ก็จะทำให้จีนชะลอการนำเข้าลงด้วย โดยจะสังเกตเห็นว่า ราคาน้ำมัน ยางพารา เและสินค้าาหลายอย่างลดลงมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะจีนนำเข้าน้อยลง

ต้นเหตุวิกฤต คือ เศรษฐกิจเก็งกำไรของอเมริกัน

ดร.สมภพ แจกแจงต้นเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ว่าเกิดจาก 3ปัจจัยหลักจากทาง สหรัฐอเมริกา ได้แก่

1. การที่สหรัฐอเมริกาเปิดเสรีภาคการเงินแบบเต็มที่ โดยเฉพาะในช่วงปลายรัฐบาลประธานาธิบดี คลินตัน ทำให้ธนาคารสามารถทำธุรกิจได้หลากหลายมากขึ้น จนมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ และซับซ้อนออกมามากขึ้น โดยเฉพาะการรับประกันความเสี่ยงของหนี้ที่ด้อยคุณภาพ จนทำให้สหรัฐวันนี้มีหนี้มากกว่า GDP ของทั้งโลกเสียอีก

2. การผ่อนคลายนโยบายการเงินการคลังอย่างมากโดยเฉพาะหลังวิกฤตการด็อทคอมปี 2001 เหตุการณ์911 สหรัฐลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องจนติดลบ และยังใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณ ทำให้เงินดอลลาห์ไหลออกมาท่วมท้นตลาด

3. ผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากจีน ภายหลังเข้าWTO ซึ่งทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐถูกลงด้วย เงินเฟ้อต่ำ ซึ่งยิ่งทำให้รัฐบาลสหรัฐใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายหนักข้อมากขึ้น

จีนพบโอกาสในวิกฤต

ดร.สมภพ ให้ความเห็นว่า ถึงแม้จีนจะถูกกระทบจากวิกฤตการเงินโกลครั้งนี้ แต่ด้วยปัจจัยภายในของจีนที่แข็งแกร่งจะทำให้จีนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ และขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายใหม่ของโลก

“มีการประเมินกันว่าในปี 2030 จีนจะมี GDP เป็นอันดับหนึ่งของโลกแทนที่สหรัฐอเมริกา แต่จากวิกฤตในสหรัฐฯครั้งนี้ จะทำให้การก้าวขึ้นมาของจีนเร็วขึ้นอย่างน้อยสิบปี”


ทั้งนี้ ดร.สมภพให้แยกแยะจุดแข็งและจุดอ่อนของเศรษฐกิจจีนวันนี้ ดังนี้

จุดแข็งของจีน
• จีนมีพื้นที่เติบโตอีกมาก ทั้งด้าน GDP รายได้ประชากร และโอกาสขยายตัวภายในประเทศ โดยเฉพาะมณฑลขนาดกลาง และภูมิภาคตะวันตกของจีน
• ศักยภาพในการบริโภคของชาวจีนยังสูง เพราะขณะนี้สัดส่วนการบริโภคต่อจีดีพีของชาวจีนอยู่ที่ 38% ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับการบริโภคของชาวอเมริกันที่สูงถึง70% ของ GDP
• รัฐบาลจีนยังคงสัดส่วนการลงทุนในอัตราสูงถึง 53.6% ของGDP ซึ่งถือเป็นอันดับต้นๆของโลก
• การออมในประเทศจีนสูง คือมีสัดส่วนการออมสูงเกือบ 25% ของรายได้ โดยภาคภาคครัวเรือน รัฐวิสาหกิจ และบริษัทต่างๆก็มีเงินสดหมุนเวียนค่อนข้างสูง
• การขยายตัวของเมืองยังมีโอกาสมาก โดยจะย้ายฐานจากมณฑลชายฝั่งทะเล ไปสู่มณฑลชั้นใน โดยหากนับเฉพาะเมืองที่มีประชากรมากเกินหนึ่งล้านคน ก็มีถึง 50เมืองแล้ว
• โครงสร้างพื้นฐาน โดนเฉพาะถนน ทางรถไฟ มีความพร้อม ทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าภายในจีนต่ำ
• จีนไม่ได้เปิดเสรีภาคการเงินเต็มที่ โดยขณะนี้จีนเปิดเสรีเฉพาะดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้ค่าเงินหยวนถูกควบคุมไม่ให้ผันผวนได้โดยง่าย
• เศรษฐกิจจีนยังคงเป็นภาคการผลิตที่จับต้องได้จริง ไม่ใช่เศรษฐกิจเก็งกำไรเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว
• จีนมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 1.9 ล้านล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 30% ของทุนสำรองทั่วโลก ซึ่งไม่เพียงแค่เพียงพอต่อการปกป้องเศรษฐกิจของประเทศตนเอง แต่ยังเหลือพอที่จะใช้ลงทุนในต่างประเทศได้
• ระบบการเมืองจีนมีประสิทธิภาพ และบริหารจัดการได้ง่าย

จุดอ่อนของจีน
• ตลาดยังไม่พัฒนามากพอ ตลาดหลักทรัพย์มีความอ่อนไหวสูง เช่นในช่วงปี 2005-2007 หลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้พุ่งขึ้น 400% ชาวจีนเปิดบัญชีเล่นหุ้น102 ล้านบัญชี ซึ่งการลดลงของหุ้นทำให้ชนชั้นกลางสูญเสียรายได้ และศักยภาพในการใช้จ่าย
• ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ราคาบ้านขณะนี้ลดลง 15-35% ยอดขายก็ลดลงมาก ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์ส่งผลกระทบในวงกว้างทั้ง ภาษีของรัฐ และการจ้างงาน
• ผลกระทบจากฮ่องกง ซึ่งเป็นเศรษฐกิจเปิดเต็มรูปแบบ แต่มีความเกี่ยวพันกับจีนแผ่นดินใหญ่มาก เช่นหุ้นในตลาดฮั่งเส็งจำนวนมากเป็นบริษัทจีนหรือเกี่ยวข้องกับจีน ทำให้มีผลกระทบต่อจีนมาก
• ความเข้มแข็งของระบบควบคุม และการบริหารจัดการของจีนยังมีปัญหา เช่น เรื่องนมปนเปื้อนเมลามีน และอีกหลายๆกรณีที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมคุณภาพ
• ความคิดของชาวจีน ที่หล่อหลอมจากลัทธิขงจื๊อ เต๋า และนโยบายเปิดประเทศ ทำให้เน้นถึงเป้าหมาย, ความเติบโตทางเศรษฐกิจ และความทันสมัย จนบางครั้งลืมรากฐานและความเหมะสมของวิธีการ

ทั้งนี้ ดร.สมภพ สรุปบทบาทของจีนต่อวิกฤตโลกครั้งนี้ว่า “หากการนำเข้าส่งออกของจีนยังคงดีอยู่จะช่วยเหลือโลกได้มาก เนื่องจากจีนนำเข้าจากทุกภูมิภาคของโลก ทำให้ราคาสินค้าทั่วโลกสูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่มีอำนาจซื้อมากขึ้น จากการเติบโตของจีน”

วิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น จะเป็นจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่การกลับมาทวงคืนบทบาททั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลกตะวันออก โดยมีจีนเป็นหัวหอก ไม่เพียงแต่จีนจะบุกไปลงทุนในต่างแดนมากขึ้น แต่จีนจะผลักดันให้ชาติเอเชียมีความร่วมมือทางการเงินมากขึ้น เช่น ร่วมกันดูแลอัตราแลกเปลี่ยน การจัดตั้งกองทุนการเงินเอเชีย หรือ AMF หรืออาจมีการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาร่วมกันสร้างเครือข่ายสาธารณูปโภคของเอเชีย ไม่แน่ว่า วิกฤตครั้งนี้อาจเป็น “การลุกขึ้น” อย่างแท้จริงของชาติเอเชียเพื่อประกาศว่า “บูรพาไม่แพ้”
ฯพณฯจางจิ่วหวน ทูตจีนประจำประเทศไทย
สินค้าจีนอาจขายได้น้อยลง
บ้านและที่ดินราคาลดลงฮวบฮาบ
กำลังโหลดความคิดเห็น