เอเจนซี-การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนขยายตัวฉลุย ที่ระดับ 8.9% ในไตรมาสสาม แต่กลับทำตลาดหุ้นฮ่องกงสลด ดัชนีหั่งเส็ง ร่วงกว่า 1 % สืบเนื่องจากกระแสเก็งว่าพญามังกรจะหันมาคุมเข้มนโยบายการเงิน เพื่อสกัดฟองสบู่ รักษาอัตราเติบโตที่มั่นคง
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยในวันนี้ (22 ต.ค.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ของปีนี้ ขยายตัว 8.9% ซึ่งนับเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงที่สุดในปีนี้ เขยิบขึ้นมาจาก 7.9% ของไตรมาสสอง และ 6.1% ในไตรมาสแรก
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน กล่าวว่า ในเก้าเดือนแรกของปีนี้ จีนมีจีดีพีโตขึ้น 7.7% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว หลังจากที่ครึ่งปีแรก จีดีพีอยู่ที่ 7.1%
เป้าหมายโตที่ 8%
“เรามั่นใจว่า จีดีพีของปีนี้ทั้งปี จะเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ตามเป้าที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน ไม่มีปัญหา” นายหลี่ เซียวเชา โฆษกรัฐบาลฯ กล่าว แต่ก็ได้เตือนถึงความท้าทายในการสร้างความสมดุลของเศรษฐกิจที่ยังคงขับเคลื่อนด้วยภาคการส่งออก ในขณะที่ชี้ว่าจีนกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน
ดัชนีหั่งเส็ง ร่วงรับข่าวคุมเข้มเงิน
รายงานการขยายตัวเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของปีนี้ ทำตลาดหุ้นฮ่องกง ร่วงต่อเนื่องเป็นวันที่สอง เนื่องจากความวิตกว่ารัฐบาลจะหันมาใช้นโยบายการเงินแบบคุมเข้ม เพื่อลดทอนมูลค่าสินทรัพย์
โดยดัชนีหั่งเส็ง ร่วงลง 1.2 % ปิดที่ 22,044.58 ในตอนปิดตลาดช่วงเช้า ตกแรงสุดนับจากวันที่ 2 ต.ค.
“เศรษฐกิจของจีน เปรียบเสมือนเครื่องบินที่บินขึ้นด้วยแรงขับฯ จากเครื่องยนต์ตัวเดียว” ไบรอัน แจ๊คสัน นักบริหารเชิงยุทธศาสตร์อาวโส ของ รอยัล แบงค์ออฟแคนาดา ในฮ่องกง กล่าวและว่าการเติบโตของจีนเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง แต่เป็นการพึ่งพาการลงทุนของภาครัฐอย่างมาก การจะรักษาระดับการเติบโตต่อไป จำเป็นต้องมีหนทางที่กว้างเผื่อไว้มากกว่านี้
ดาริอุส โควัลซค์ หัวหน้าส่วนกำหนดยุทธศาสตร์การลงทุน ของ SJS Markets ได้คาดการณ์อัตราเติบโตว่าอาจจะไปถึง 12% ในไตรมาสที่ 4 เขากล่าวว่า “ตัวเลขบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจกำลังโตอย่างรวดเร็ว และยังมีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นไปอีก ปีนี้ทั้งปี จีดีพีของจีนคงเป็นไปตามเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ (จีดีพี 8%)”
ในช่วงวันพุธก่อนเปิดเผยตัวเลขจีดีพีสู่สาธารณะ รัฐบาลแสดงความเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจ ต่างไปจากเมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มผู้นำจีนหลายคนแสดงความวิตกว่าการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศยังไม่มั่นคงนัก
โดยในเก้าเดือนแรก เปรียบเทียบกับปีก่อน จะเห็นว่า การลงทุนในภาคสินทรัพย์ถาวร การลงทุนภาครัฐ ในโครงการสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการฟื้นเศรษฐกิจ สูงขึ้น 33.3% สูงกว่าปีที่แล้ว 6.4% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือซีพีไอ ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดสำคัญในภาวะเงินเฟ้อ ตกลงไป 1.1% และผลผลิตอุตสาหกรรม ซึ่งแสดงภาวะการผลิต ขยายตัว 8.7%
ส่วนยอดการค้าส่งในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ พุ่งขึ้น 15% ขณะที่ยอดขายที่พักอาศัยและบริการด้านอาหารปรับตัวเพิ่ม ทำให้ยอดค้าปลีกสูงขึ้น 17.4%
นอกจากนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดขายสินค้าเพื่อผู้บริโภค รวมถึงยอดขายเครื่องใช้ในบ้าน และเฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้น 32.3% เช่นเดียวกับยอดขายรถยนต์พุ่งขึ้น 24.5%
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า GDP ที่ขยายตัวและการฟื้นทะยานขึ้นของจีน เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้นำมาใช้รวมทั้งการอัดฉีดงบประมาณ มูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือ 5.86 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในโครงการก่อสร้างทางรถไฟ ถนน โรงผลิตพลังงาน และโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน รวมถึงการปล่อยกู้จำนวนมหาศาล ก็มีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้ข้ามพ้นจากภาวะถดถอย
ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการและกำกับดูแลความสามารถในการเข้าถึงสินค้าอุปโภคบริโภคและสินเชื่อง่ายขึ้น จีนสามารถเพิ่มการบริโภคภายในประเทศอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากกว่าผลผลิตประจำปีของประเทศฝรั่งเศส ในปี 2568 สถาบัน แมคคินซี โกลเบิล McKinsey Global Institute กล่าวในรายงาน วันที่ 21 สิงหาคม
ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้จะสิ้นสุดลงในปีหน้า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ต้องหาวิธีการใหม่ในการรักษาระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ เช่นเดียวกัการรักษาระดับการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการให้เงินอุดหนุนแก่ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง
ลู่ทางในการยกเลิกมาตรการ
ตัวเลขจีดีพี ที่ได้เปิดเผยวันนี้ อาจจะกระตุ้นให้ผู้บริหารนโยบายพิจารณาหาลู่ทางในการยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเงินต่างๆ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจภายหน้า
ไมเคิล เปทิส ศาสตราจารย์ด้านการเงินแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และอดีตหัวหน้าฝ่ายดูแลกลุ่มตลาดเกิดใหม่ของแบร์ สเติร์นส์ กล่าวแสดงความเห็นว่า ยอดการปล่อยเงินกู้ จำนวนมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน จนขยายตัวเร็วสุดในไตรมาส 3 นั้น ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของจีนจำเป็นต้องหาทางออกว่า ถ้ารัฐฯ เลิกให้การสนับสนุน เศรษฐกิจจะเดินต่อไปอย่างไร เพราะว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจนั้น เกิดขึ้นจากการใช้มาตรการกระตุ้นเร้าอยู่มาก ตอนนี้จึงมีคำถามว่า ทำอย่างไรการเติบโตทางเศรษฐกิจจะไม่หยุดชะงัก เมื่อไม่มีมาตรการเหล่านั้นแล้ว
สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคือความท้าทายที่แท้จริง
ในรายงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย เดือนที่แล้ว ได้ระบุไว้ว่า การขยายระยะเวลาสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนานเกินไป อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่เงินทุนในตลาดหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์จะผันผวน ตลอดจนมูลค่าสินทรัพย์ของธนาคารที่ลดลง และแรงกดจากเงินเฟ้อ เหล่านี้จะส่งผลให้เกิดภาวะการเงินตึงตัวรุนแรง และอาจจะทำให้การขยายตัวกลับชะลอลงไปอีกครั้ง
"การรักษาอัตราเติบโตของเศรษฐกิจจีนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างงานและเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนทางสังคม" โยลันดา เฟอร์นานเดซ ลอมเมน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนที่ เอดีบี ในปักกิ่งกล่าวและว่า
"เรื่องที่ง่ายนั้นเพิ่งจะแล้วเสร็จไป สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคือความท้าทายที่แท้จริง”