บลูมเบิร์ก – ดัชนีหุ้นตลาดหลักทรัพย์จีนร่วงกราวรูดติดต่อกันหลายเดือน นักลงทุนกว่า 146 ล้านคนเจอพิษขาดทุนระนาว หลายคนวางแผนหอบเงินหนีไปฝากธนาคารกินดอกดีกว่า ด้านธนาคารแทนที่จะยิ้มร่า กลับต้องนั่งกุมขมับเตรียมจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้นอีก ซ้ำเติมรายได้หด
หลังจากดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้คอมโพสิท (CSI 300) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นสะท้อนการซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนจีนในประเทศด้วยเงินสกุลหยวนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ปีนี้ร่วงลงถึง 46% ทำให้นักลงทุนหลายรายเริ่มตัดสินใจนำเงินไปฝากธนาคารมากขึ้น และเริ่มย้ายเงินจากบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกที่มีดอกเบี้ยต่ำ ไปฝากประจำซึ่งให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเก่าถึง 4 เท่าตัวแทน ตามที่บริษัทเครดิต สวิส กรุ๊ป เอจี ให้ข้อมูล ตรงข้ามกลับเมื่อช่วงปี 2006-2007 ที่ตลาดหลักทรัพย์จีนกำลังคึกคัก หน่วยครัวเรือนก็ลดเงินฝากในธนาคาร
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ข้างต้นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับธนาคารเสมอไป เพราะธนาคารพาณิชย์ต้องแบกรับภาระจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลกลางยังได้สั่งจำกัดธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ เพื่อแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารจีนหลายแห่งเผชิญกับปัญหาผลกำไรถดถอย เพราะพวกเขาไม่สามารถชดเชยต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากสูงขึ้นด้วยการปล่อยกู้เพิ่มได้ ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ที่ซบเซายังส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายกองทุนรวม ดับฝันธนาคารที่หวังรายได้เพิ่มจากธุรกิจภายนอก
“สถานการณ์ดังกล่าวอาจยิ่งเลวร้ายลงไปอีกหากทัศนคติต่อตลาดยังไม่มีทีท่าเปลี่ยนแปลง และดูท่าว่านักลงทุนคงไม่เปลี่ยนทัศนะในเร็ววันนี้” ลีโอ เกา จากบริษัทบริหารจัดการทรัพย์สิน เอพีเอส ในเซี่ยงไฮ้กล่าว พร้อมเชื่อว่า การที่นักลงทุนโยกเงินมาฝากประจำเพิ่มมากขึ้นนั้นจะเป็นผลเสียต่อผลกำไรธนาคาร
อนึ่ง ธนาคารจีนปัจจุบันเสนอดอกเบี้ยประจำปีของเงินฝากประจำ 3 เดือนอยู่ที่ 3.33% ขณะที่เงินฝากเผื่อเรียกอยู่ที่ 0.72% เท่านั้น และยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลาขึ้นอยู่กับธนาคารกลางกำหนด
จากข้อมูลของธนาคารกลางระบุว่า สัดส่วนเงินฝากประจำของหน่วยครัวเรือนจีน ซึ่งมีเงินออมธนาคารรวมมูลค่าถึง 2.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐนั้น ปีนี้เพิ่มสูงขึ้นทุกๆ เดือน โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อัตราขยายตัวสูงถึง 63%
นอกจากนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าหน่วยครัวเรือนล่าสุดของธนาคารกลาง ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ปรากฏว่า 38% ของกลุ่มตัวอย่างเผยว่า พวกเขาวางแผนฝากเงินกับธนาคารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจำนวนผู้ที่คิดเช่นนี้สูงกว่า 35% เมื่อ 3 เดือนก่อนและสูงกว่า 25% ของช่วงไตรมาสที่ 3 ปีที่แล้ว
ด้าน จู หมิน รองประธานธนาคารแห่งประเทศจีน (บีโอซี) ธนาคารใหญ่อันดับ 3 ของประเทศเผยว่า ผลกำไรของบีโอซีย่ำแย่ลงมาก เนื่องจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายเพิ่มสูงขึ้น และยอดจำหน่ายกองทุนรวมก็ลดน้อยลง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจีนพยายามต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 12 ปีพุ่งแตะ 8.5% โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จีนได้กำหนดเพดานเงินที่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ปล่อยกู้ในปีนี้ได้ไม่เกิน 3.6 ล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับปี 2007 โดยจาง เฉียง ผู้ช่วยประธานธนาคารซิติกในปักกิ่งเผยว่า ธนาคารหลายเจ้า รวมทั้ง ไชน่า ซิติก กำลังถูกคณะกรรมการกำกับกิจการธนาคารตรวจสอบรายเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าธนาคารเหล่านี้ไม่ได้ปล่อยกู้เกินโควต้า
นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังสั่งเพิ่มสัดส่วนเงินฝากที่ธนาคารต้องเก็บสำรองเพิ่มขึ้นถึง 5 ครั้งในปีนี้ พุ่งทำลายสถิติ 17.5% ทำให้ธนาคารต้องแช่แข็งเงินทุนมากกว่า 1 ล้านล้านหยวน โดยเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 0.5% นั้นก็หมายถึงกำไรที่ค่อยๆ หดหายไปของธนาคารนั่นเอง