xs
xsm
sm
md
lg

ทหารไทยจ่อคิวFIFลุยตลาดเงิน หาผลตอบแทนจาก4สกุลหลักของโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ทหารไทยจ่อคิวตั้งกองทุนเอฟไอเอฟลุยตลาดเงิน 4 สกุลเงินหลักของโลก ทั้งดอลลาร์สหรัฐ ปอนด์สเตอร์ลิง ยูโร และดอลลาร์ออสเตรเลีย พร้อมเปิดทางรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มที่ หวังให้ลูกค้ากระจายความเสี่ยง คาดเปิดขายได้เดือนหน้า ส่วนกอง "ทหารไทย ไชน่า อิควิตี้ อินเด็กซ์" ที่เอ็นเอวีติดขยับลงมาถึง 5 บาทกว่าๆ เป็นจังหวะเข้าลงทุนระยะยาว มั่นใจท้ายที่สุดแล้ว ดัชนีหุ้นจีนต้องสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งออกมา

นางโชติกา สวนานนท์
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจะออกกองทุนตราสารตลาดเงิน (มันนี่มาร์เกต) ที่ลงทุนในสกุลเงินหลักของโลกทั้ง 4 สกุล ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ ปอนด์สเตอร์ลิง ยูโร และดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอขายได้ในเดือนกรกฎาคม 2551 นี้ โดยกองทุนตราสารตลาดเงินต่างประเทศนี้ จะไม่มีการปิดความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนมีโอกาสเข้าไปลงทุนในสกุลเงินต่างๆ และเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง

ทั้งนี้ แต่ละกองทุนที่จัดตั้งจะต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ตรงนี้บริษัทคงจะต้องพิจารณาดูว่าจะออกกองทุนตราสารตลาดเงินที่ไปลงทุนในสกุลเงินไหนก่อน ซึ่งอาจจะทยอยออกเดือนละกองหรือออกพร้อมกันทั้ง 4 กองทุนก็ได้ ขึ้นกับสภาพของตลาดในขณะนั้น

“กองทุนตราสารตลาดเงินต่างประเทศที่ไปลงทุนในสกุลเงินหลักของโลกทั้ง 4 สกุล ถือว่ามีสภาพคล่องสูงมากและยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทตั้งใจที่จะทำให้กองทุนตราสารตลาดเงินต่างประเทศนี้สามารถที่จะทำการซื้อขายได้ทุกวันด้วย”นางโชติกากล่าว

นางโชติกากล่าวถึงกองทุนเปิดทหารไทย ไชน่า อิควิตี้ อินเด็กซ์ ที่ปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยอยู่ที่ 5.7410 บาทว่า กองทุนนี้ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะลง (Downside risk) ลดลงมากแล้ว จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนที่สนใจและมองการลงทุนในภาพระยะยาว สามารถทยอยซื้อเฉลี่ยต้นทุนได้ จากปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้อยู่ที่ระดับ 3,000 จุด จากที่เคยขึ้นไป 6,000 จุดนั้น แต่ถ้ามองปัจจัยพื้นฐานของประเทศจีนแล้ว ดัชนีเซี่ยงไฮ้มีโอกาสปรับขึ้นไปถึงระดับ 9,000 จุด ถ้าคิดว่าลงทุนระยะ 10 ปีจากปัจจุบันหากจะไปถึงดัชนีระดับนั้น ก็ยังคุ้มคิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 20% ต่อปี เพราะปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจจีนยังมีการเติบโตในระดับสูงอย่างต่อเนื่องได้ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วดัชนีหุ้นจีนจะต้องสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนในระยะยาวได้

นายสมภพ มานะรังสรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษาจากสถาบันเอเชียศึกษา กล่าวว่า ตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมานั้น มาจากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยเฉพาะปัจจัยนอกประเทศ แม้จะไม่เกิดขึ้นตรงๆ แต่เป็นทางอ้อมคือการปรับตัวลงของดัชนีฮั่งเส็ง เพราะบริษัทจดทะเบียนจีนส่วนใหญ่กว่า 50% จดทะเบียนอยู่ที่นั่น นอกจากดัชนี H-Share แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ บริษัทอื่นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮั่งเส็งหลายบริษัทมีการร่วมทุนกับบริษัทในจีน เมื่อตลาดหุ้นฮั่งเส็งมีการปรับฐาน ดัชนีตลาดหุ้นจีนจึงได้รับผลกระทบไปด้วย

ส่วนอีกปัจจัยที่สำคัญ คือ การส่งออกของจีนที่เคยเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เมื่อเกิดปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ จึงคาดว่าภาคส่งออกของจีนจะชะลอตัวลง นอกจากนั้น จีนเองมีนโยบายควบคุมฟองสบู่ที่เข้มงวด ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงิน มีการปรับขึ้นสำรองของธนาคารเกือบทุกเดือน ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกือบทุกเดือน ควบคุมการก่อสร้างสินทรัพย์คงที่พวกอาคารต่างๆ ทำให้ต้นทุนในการมาลงทุนในหุ้นสูงขึ้น แล้วทำให้ผู้ลงทุนเริ่มเปรียบเทียบทางเลือกในการลงทุนมากขึ้นระหว่างการนำเงินไปฝากธนาคารกับการลงทุนในหุ้น

สำหรับปัจจัยสุดท้าย คือปัจจัยลบจากภัยธรรมชาติต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นพายุหิมะ แผ่นดินไหว การประท้วงการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิค หรือน้ำท่วม ซึ่งภัยธรรมชาติเหล่านี้ ทำให้ความรู้สึกที่เคยมีด้านบวกมากๆ เกี่ยวกับจีน เปลี่ยนเป็นความรู้สึกในลักษณะตรงกันข้ามมากขึ้น จึงส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีน เชื่อว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะไม่ต่ำกว่าระดับ 10% อย่างแน่นอน และยังสามารถรักษาการเติบโตในระยะยาวเอาไว้ได้ ซึ่งท้ายที่สุดตลาดหุ้นจีนควรจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของจีนออกมาด้วยเช่นเดียวกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น