xs
xsm
sm
md
lg

อนาคตจีน!แม้ภาพรวมไม่สดใส แต่ระยะยาว...รัฐบาลปูทางไปไกลแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทีมงานผู้จัดการกองทุนรวม มีโอกาสไปร่วมงานสัมนา Chaina Market : The Long Term Prosperity ที่จัดโดยบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ทหารไทย จำกัด โดยภายในงานได้เชิญ อาจารย์สมภพ มานะรังสรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษาจากสถาบันเอเชียศึกษา มาให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศจีน ซึ่งการสัมนานี้ได้บอกเล่าสิ่งที่จีนต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ ที่สำคัญผู้เชียวชาญยังวิเคราะห์อนาคตของเศรษฐกิจจีนอีกด้วย เชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวน่าจะทำให้ผู้ที่กำลังอยากจะตัดสินใจลงทุนในประเทศจีน มีข้อมูลเพื่อการตัดสินใจลงทุนมากขี้น

สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของจีน
สมภพ มานะรังสรรค์
มองว่า ประเทศจีนกำลังพัฒนาเศรษฐกิจ ถึงเเม้ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ของจีนจะดูไม่สดใส เเต่ถ้าดูการวางเเผนระยะยาวของจีน จะเห็นได้ว่า จีนยอมลงทุนเองเเละวางเเผนการคมนาคม ทั้งประเทศที่รองรับการขนส่งโลจิสติกส์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การสร้างสนามบินที่ธิเบต การสร้างถนน สร้างสะพานเพื่อลดระยะในการเดินทาง รวมไปถึงการออกกฏหมายเเรงงานทำให้จีนเป็นสากลมากขึ้น ต่างชาติก็ยอมรับมากขึ้น ที่สำคัญจีนจะหันไปพัฒนามณฑลภาคกลางเเละตะวันตก โดยจะไม่ส่งเสริมอุตสหกรรมที่ใช้พลังงานมาก เเละไม่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อม ส่วนเมืองท่าเช่น เซี่ยงไฮ้ จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการบริการ ทั้งการศึกษา ไอที การท่องเที่ยว

สิ่งที่จีนต้องเผชิญอยู่
ความร้อนเเรงของหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปกว่า 6,000 จุดเริ่มชะลอตัว ปัจจัยเรื่องของน้ำมันก็มีผล ประกอบกับทางการจีนได้คุมเรื่องของเศรษฐกิจ ไม่ให้ฟองสบู่เเตก โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ เหล่านี้เป็น ปัญหาใหญ่ของจีน โดยอัตราเงินเฟ้อของจีนมากจาก เรื่องของราคาอาหารถึง 90% ดูได้จากความต้องการเนื้อหมูของจีนซึ่งที่ผ่านมาประเทศจีนไม่ส่งเสริมให้มีการเลี้ยงหมูหรือปศุสัตว์ภายในประเทศ ที่สำคัญทางการจีนเเละชาวจีนปกป้องพันธุ์หมูพื้นเมือง ความต้องการของเนื้อหมูจึงมีมาก จนปัจจุบันทางการจีนส่งเสริมให้มีการปศุสัตว์มากขึ้นเพื่อรองรับการขาดเเคลนที่จะเกิดขึ้นอนาคต

ส่วนเรื่องราคาข้าวเเละธัญพืช ปีนี้จัดได้ว่าจีนจะมีดีเป็นพิเศษ ราคาข้าวเมืองจีนจะลดลงอย่างเเน่นอน ซึ่งทั้งโลกมีการผลิตข้าวรวม 400 กว่าล้านตัน ส่วนประเทศจีนผลิตได้ 130 ล้านตัน เเต่ส่วนมาที่ผลิตมาก็ใช้เองซะส่วนใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นได้ถึงเกือบ 100% โดยเฉพาะข้าวสาลี เเต่ตอนนี้สถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย เนื่องจากทางการจีนจะไม่อุดหนุนการส่งออกธัญพืข เเละไม่อุดหนุนการส่งออกน้ำมันพืช ซึ่งถ้าเป็นการนำเข้ามาจะลดภาษีนำเข้าจาก 10% เป็น 5%

สำหรับปัจจัยอื่นที่มีโอกาสทำให้จีนต้องเผชิญกับเงินเฟ้อคือ การปรับราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลต่อการขนส่งเเละคมนาคม ตัวเเปรที่สำญคือการคมนาคมซึ่งประชากรจีนใช้รถนยต์ 8,800,000 คันเท่ากับ 20%ของประชากรที่มีอยู่ โดยถ้าเทียบกับคนไทยเเล้วตัวเลขเมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา คนไทยออกรถใหม่เพียง 680,000 คัน ถ้ากลับไปดูสหรัฐมียอดการออกรถใหม่ 15 ล้านคัน อีกไม่เกิน 3 ปีจีนจะมีปริมาณการใช้รถมากกว่าสหรัฐอเมริกาเเน่นอน โดยประเทศจีนเองก็เป็นประเทศที่เริ่มผลิตรถยนตร์ใช้เองพร้อมทั้งส่งออกไปต่างประเทศเเล้วเช่นกัน ซึ่งอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจีนจะเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด สำหรับภาคอุตสหกรมมจีนจะไม่ใช้น้ำมันในการผลิตเเต่ใช้พลังงานถ่านหินเเทน

"เมื่อไม่นานมานี้ ทางจีนเองได้เชิญผมเเละคณะกรรมการเงินของเอเชียตะวันออกไปประชุมที่เซียงไฮ้ โดยจีนได้ขายไอเดียดังนี้ คือ ให้เอเชียตะวันออกบริหารอัตราเเลกเปลี่ยน เเละตั้งกองทุนพัฒนาสาธารณูประโภคพื้นฐาน ให้กับประเทศในเเถบเอเชีย ด้วยกันเอง โดยไม่ต้องพึงพาประเทศในเเทบยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งให้ดอกเบี้ยในการกู้ยืมต่ำกว่า" สมภพกล่าว

ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศจีน
ถ้าย้อนไปเดือนตุลาคม ปีเเล้ว การซื้อขายของจีนสูงถึง 6,000 กว่าจุด ซึ่งก่อนหน้านี้การซื้อขายในตลาดหุ้นไม่ถึง 1,000 จุด เนื่องจากประชาชนชาวจีนสนใจเล่นหุ้นมากขึ้น โดยมีการเปิดบัญชีกว่า 30 ล้านราย รวมทั้งปีมีการเปิดบัญชีเพื่อการเล่นหุ้นถึง 1,200 ล้านราย เมื่อหุ้นขึ้นร้อนเเรงทำให้มูลค่าตลาดรวมใหญ่กว่า GDP จึงทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าสภาพความเป็นจริง

ที่สำคัญต้องยอมรับว่า ตั้งเเต่ต้นปี 51 ที่ผ่านมาประเทศจีนต้องเจอปัญญาที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่น เรื่องพายุหิมะ น้ำท่วม เเผ่นดินไหว เเละกรณีวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก เป็นต้น เเต่ในเเง่ของข้อดีก็มีเหมือนกัน เช่น การที่เเผ่นดินไหวครั้งนี้จะทำให้ความต้องการของวัสดุก่อสร้างมีมากขึ้น ซึ่งทางการจีนเองก็สั่งให้ธนาคารปล่อยกู้เงินสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ประเทศจีนเองก็มีการไประดมทุนต่างประเทศเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศสิงค์โปร์ หรือเเม้เเต่ตลาดเเนสเเด๊ก ของสหรัฐอเมริกา ส่วนค่าเงินของจีนเเข็งค่าขึ้นเเต่ไม่หน้าจะหวือหวา คาดว่าสิ้นปีนี้เงินหยวนจะเเข็งค่าประมาณ 6% จากที่เป็นอยู่ซึ่งจะสูงกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องเเปลก

ส่วนเศรษฐกิจกับตลาดหุ้นจีนนั้น มีทิศทางเดียวกันกับค่าการเงิน ซึ่งตลาดตราสารหนี้ของจีนมีสัดส่วนเพียงเเค่ 5% เท่านั้นเมื่อเทียบกับของอเมริกา โดยสามารถเเบ่งตราสารได้ดังนี้ 63% เป็นธนาคาร 5% เป็นพันธบัตรรัฐบาล เเละอีก 1% เป็นหุ้นกู้ภาคเอกชน มองดูเเล้วตลาดตราสารหนี้มีโอกาสเติบโตอยู่มาก มาตรการการเงินการคลังของจีนออกมาทุกครั้งจะทำให้หุ้นตก เนื่องมากจาก มูลค่าตลาดที่ครอบครองมาร์เก็ตเเคปมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ กลุ่มพลังงาน เเละธนาคารพาณิชย์ ซึ่งยอดการส่งออกค่อนข้างต่ำทำให้ภาพรวมในตลาดมีปัญหา

สิ่งที่ได้จากงานโอลิมปิก
"สมภพ" ชี้ให้เห็นการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ของจีนว่า จีนต้องการให้สินค้าภายใต้การผลิตของตนเองเป็นที่รู้จักทั่วโลก เปลี่ยนจากการรับจากผลิตเป็นผู้ผลิตเอง ซึ่งประเทศจีนเองไม่อยากให้เเบนด์ต่างประเทศเข้ามาภายในจีน ที่สำคัญจีนได้ใช้การตลาดที่เกี่ยวพันกับการกีฬา เช่น สร้างนักกีฬา หรือโค้ช หากเราเปรียบเทียบกับประเทศที่เคยเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกมาก่อน ญีปุ่น เเละเกาหลี ถามว่าก่อนหน้านี้ฝรั่งรู้จักรถยนตร์เเดวู หรือ สินค้าเเอลจี หรือไม่ก็ไม่รู้จักเเต่พอมีกีฬาชาวต่างชาติก็รู้จักมากขึ้น เหมือนเป็นการโฆษณาสินค้าภายในประเทศ โดยจีนตั้งความหวังจากผู้รับจ้างผลิต เป็นผู้ผลิตเอง รวมถึงส่งเสริมให้มีการเข้ามาลงทุนในจีนอีกด้วย

ตอนนี้ เองจีนเริ่มที่จะส่งออกติดต่อค้าขายกับประเทศที่ส่งออกทรัพย์กรธรรมชาติ เช่นเเร่ เหล็ก ดีบุก เป็นต้น เช่น เเถบเเอฟริกา ที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญ

หลังจากนี้เศรษฐกิจของจีนจะดีขึ้นหรือไม่ เราคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจีนเองเเทบจะไม่มีปัญหาเรื่องการเมืองเลย สิ่งที่รัฐบาลจีนปูทางไว้เพื่ออนาคต คงก็ต้องตามต่อเช่นกันว่าการสิ่งที่ปูไว้จะสำเร็จหรือไม่สำหรับประเทศจีน


กำลังโหลดความคิดเห็น