เอเยนซี – ปิดฉากเมดเวเดฟเยือนจีน ย้ำความร่วมมือทางพลังงาน, ยุทธศาสตร์ และการค้า แถมลงนามในสัญญามูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มบทบาทความร่วมมือด้านนิวเคลียร์กับจีน ด้วยการสร้างโรงเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิง พร้อมซับพลายยูเรเนียมให้
ประธานาธิบดี ดิมิทรี เมดเวเดฟของรัสเซียได้เดินทางมาเยือนจีนเมื่อวันศุกร์ (23 พ.ค.) โดยได้เข้าพบหารือกับผู้นำจีนคือ ประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ทั้งสองฝ่ายต่างพูดถึงการส่งเสริมความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับรัสเซียให้พัฒนาต่อไป
ทั้งนี้เมดเวเดฟได้เลือกเยือนจีนเป็นเป้าหมายหลักสำหรับการเยือนต่างประเทศครั้งแรกหลังการรับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า รัสเซียให้ความสำคัญกับจีน
ในการหารือครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวประฌามแผนการของสหรัฐฯ ที่จะติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรปตะวันออก โดยมีการตั้งระบบส่วนหนึ่งในสาธารณรัฐเช็ก และโปแลนด์ซึ่งเคยเป็นบริวารของสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียในปัจจุบัน ซึ่งผู้นำรัสเซียตั้งข้อสงสัยว่า ระบบป้องกันดังกล่าวอาจมีเป้าหมายมาที่รัสเซียไม่ใช่รัฐอันธพาลอย่างเช่น อิหร่าน ตามที่สหรัฐฯอ้าง
นอกจากนี้เมดเวเดฟยังเผยว่า จะเพิ่มความร่วมมือในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ที่ซึ่งทั้งสองมหาอำนาจมีอำนาจในการวีโต้ สำหรับปีนี้ทั้งสองประเทศได้ขู่ที่จะใช้อำนาจวีโต้การรับรองเอกราชของโคโซโว ทำให้ในที่สุดประเทศตะวันตกต้องเลือกที่จะรับรองเอกราชโดยไม่ผ่านสหประชาชาติ ซึ่งทำกับลดทอนความชอบธรรมของโคโซโวที่แยกออกจากเซอร์เบียในเวทีระหว่างประเทศ
สำหรับการขู่วีโต้ดังกล่าว เนื่องจากทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันประเด็นชนกลุ่มน้อยในประเทศ ซึ่งทั้งจีนและรัสเซียมีทัศนะว่า การประกาศเอกราชทางเดียวของโคโซโวอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ชนกลุ่มน้อยในประเทศของตนทำตาม
พ้นจากประเด็นความร่วมมือในคณะมนตรีความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะเพิ่มความร่วมมือทางด้านพลังงานและยุทธศาสตร์ผ่านองค์กรความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (เอสซีโอ)
ทั้งนี้เอสซีโอตั้งขึ้นเมื่อปี 2001 โดยมีสมาชิกคือ จีน, รัสเซีย, อุซเบกิสถาน, คาซัคสถาน, ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายและเสริมความร่วมมือในภูมิภาค อย่างไรก็ตามองค์กรดังกล่าวได้กลายเป็นเวทีสำหรับจีนและรัสเซียในการต่อต้านอิทธิพลของสหรัฐฯในเอเชียกลาง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่อุดมด้วยทรัพยากรพลังงาน ล่าสุดเมื่อปี 2005 การตัดสินใจของเอสซีโอที่จะให้อิหร่านเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ได้สร้างความหวาดวิตกให้กับสหรัฐฯ
สำหรับความร่วมมือทางด้านการค้า มูลค่าการค้าขายของสองมหาอำนาจได้เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จาก 6,830 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 1996 เป็น 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2007 ซึ่งมูลค่าเพิ่มส่วนนี้มีแรงผลักดันจากการส่งออกน้ำมันดิบจากรัสเซียมายังจีน ทว่าทางรัสเซียเองก็เผชิญปัญหาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์จีนราคาถูกทะลักเข้าตลาดรัสเซีย จนก่อให้เกิดภาวะขาดดุลการค้ามูลค่า 8,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างย้ำว่า จะยังคงเพิ่มความร่วมมือทางการค้าต่อไป โดยจะมีการกระจายความร่วมมือสู่การค้าเทคโนโลยีระดับสูง, อุตสาหกรรมการบิน, พลังงานนิวเคลียร์, อวกาศ และอุตสาหกรรมไอที
โดยทางรัสเซียได้ลงนามในสัญญามูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มบทบาทความร่วมมือด้านนิวเคลียร์กับจีน ด้วยการสร้างโรงเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิง พร้อมซับพลายยูเรเนียมให้ เพื่อย้ำความร่วมือด้านพลังงานและการค้า
หลังจากเสร็จสินการหารือ ต่อมาเมดเวเดฟได้เดินทางไปปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยชิงหัวในวันเสาร์ ซึ่งทางประธานาธิบดีหู จิ่นเท่า ก็เป็นศิษย์เก่าของสถาบันแห่งนี้ด้วย โดยเมดเวเดฟได้ย้ำถึงความร่วมมือต่างๆที่ได้หารือไปเมื่อวันศุกร์
นักวิเคราะห์ชี้ยังมีปัญหากวนสัมพันธ์
แม้การหารือดังกล่าวดูจะสะท้อนภาพในแง่บวก อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ชาวรัสเซียได้ออกโรงเตือนว่า ยังมีปัญหาที่กวนใจทั้งสองฝ่าย เนื่องจากก่อนเดินทางมาเยือนจีนเมดเวเดฟได้เดินทางไปเยือนคาซัคสถาน ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังจีนและตะวันตก ที่พยายามเข้ามามีอิทธิพลในเอเชียกลาง เพื่อหวังประโยชน์ด้านพลังงาน
ทั้งนี้รัสเซียมองว่า ภูมิภาคดังกล่าวยังคงเป็นเขตอิทธิพลที่สำคัญของรัสเซีย การรุกคืบของจีนไปยังภูมิภาคดังกล่าวโดยผ่านช่องทางซินเจียง (ซินเกียง) ทำให้ทางรัสเซียไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่รัสเซียยังกังวลกับการเข้าถึงข้อมูลด้านความมั่นคงของรัสเซีย ผ่านการขายอาวุธรัสเซียให้กับจีนที่เพิ่มมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่บางรายแสดงทัศนะว่า จีนเข้าถึงข้อมูลความลับทางทหารของรัสเซียมากเกินไป
