xs
xsm
sm
md
lg

ช้างพลาย-ช้างต้น-ช้างน้อย ในวันที่มีลูกหลาน (กุญชร) เต็มบ้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่เราจะสามารถรวบรวมครอบครัว “กุญชร” มาพร้อมหน้ากันทั้งบ้าน เพราะจะว่าไปแล้วครอบครัวนี้จัดว่าเป็นครอบครัวใหญ่ด้วยจำนวนสมาชิกในบ้านถึง 14 คน แต่ยังคงรักษาความอบอุ่นภายในครอบครัวได้อย่างแน่นแฟ้น โดยครั้งนี้พวกเขาจะเปิดบ้านต้อนรับผู้อ่าน Celeb Online และแบ่งปันเรื่องราวในดีๆ ที่มีแต่ความรักและเอื้ออาทรกันในรั้วบ้าน “กุญชร” แห่งนี้

ณ บ้านเก่าแก่ของครอบครัวกุญชรย่านกล้วยน้ำไท ที่ภายในได้แบ่งออกเป็นอาคารหลายหลังที่เหล่าครอบครัวกุญชรอาศัยอยู่ในรั้วเดียวกันบนพื้นที่กว่า 1,025 ตารางวา และยังมีสนามหญ้าขนาดย่อมที่เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่น เพราะในทุกเย็นจะมีทายาท รุ่นหลานของตระกูลกุญชรวิ่งเล่นกันอย่างร่าเริง ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนที่บ้านของแต่ละคน

จากเดิมที่บ้านแห่งนี้เป็นเพียงบ้านพักอันแสนสุขของ คุณพ่อ “พลโทเอราวัต กุญชร ณ อยุธยา” และคุณแม่ “ปริยา กุญชร ณ อยุธยา“ และลูกชายทั้ง 3 คน คือ ช้างพลาย, ช้างต้น และ ช้างน้อย เมื่อถึงวัยที่หนุ่มๆ แต่ละคนได้สร้างครอบครัวของตัวเอง ในรั้วบ้านนี้นอกจากเรือนไม้หลังเดิมด้านหน้าแล้ว ก็ยังมีเรือนน้อยๆ ที่ผุดขึ้นเรียงรายในบริเวณด้านหลังของบ้าน กลายเป็นการอยู่รวมกันอย่างแสนสุขของครอบครัวขยายแบบสมัยรุ่นใหม่

...แนะนำตัวกันคร่าวๆ ถึงลูกชาย 3 คนที่ต่างก็มีหน้าที่การงานที่ดีและสร้างครอบครัวของตัวเองเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เริ่มจากลูกชายคนโต “ช้างพลาย กุญชร ณ อยุธยา” ซึ่งหมายถึงช้างตัวผู้มีพลังอำนาจ โดยช้างพลายเชือกนี้ปัจจุบันเป็นวิศวกรปิโตรเคมีอยู่ที่บริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ถัดมาที่ลูกชายคนที่ 2 ของบ้าน “ช้างต้น กุญชร ณ อยุธยา” ที่ความหมายของชื่อหมายถึง ช้างทรงของพระมหากษัตริย์ สำหรับช้างต้นเชือกนี้มีใจรักในเสียงดนตรี โดยปัจจุบันเป็นรองคณบดีฝ่ายบริหารและวิเทศสัมพันธ์ที่มหาวิทยาลัยรังสิต อีกทั้งยังเป็นนักดนตรีแจ๊ซระดับมืออาชีพที่โชว์ผลงานโดดเด่นทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ

และช้างเชือกสุดท้องของบ้าน “ช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา” ซึ่งเขาเกิดมาในช่วงที่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำช้างน้อยออกมาจำหน่ายพอดีจึงกลายเป็นที่มาของชื่อ “ช้างน้อย” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อพี่ๆ ทั้งสองคน โดยในวันนี้เขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบริษัท เดย์ โพเอทส์ กลุ่มนิตยสาร a day และมีประสบการณ์ในการบริหารสื่อบันเทิงมาหลายแห่ง

จะว่าไปแล้วทั้ง 3 คน เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรับผิดชอบและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้ ลูกๆ ทั้ง 3 ขอยกเครดิตให้กับการเลี้ยงดูของคุณพ่อและคุณแม่ เพราะถ้าไม่ได้ท่านทั้งสองฟูมฟักอย่างดี ก็คงไม่มีพวกเขาในวันนี้

ความผูกพันในวัยเด็กของช้าง 3 เชือก

หลายคนที่ได้ยินชื่อพี่น้องบ้านนี้ “ช้างพลาย-ช้างต้น-ช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา” ก็มักจะคิดว่าช้างต้นน่าจะเป็นชื่อของพี่คนโต แต่ที่จริงแล้วพี่ใหญ่ของบ้านนี้คือ ช้างพลาย

ช้างพลาย : ด้วยชื่อที่มีคำว่าต้น เลยทำให้คนคิดว่าเขาเป็นคนแรก แถมตอนเด็กๆ เขาตัวโตกว่าผมด้วย คนเลยเข้าใจผิดกันบ่อยๆ ซึ่งอายุเราก็ห่างกันแค่ปีเดียว ส่วนช้างน้อยจะวัยห่างไปหน่อยคือเด็กกว่าผม 4 ปี แต่ก็สนิทกันหมดทั้ง 3 คน เพราะประถมและมัธยมเราเรียนที่เดียวกัน ไป-กลับโรงเรียนพร้อมกัน แล้วก็ทำกิจกรรมชมรมเดียวกันตลอด

ช้างต้น : พวกเราก็เล่นสนุกกัน 3 พี่น้อง โดยไม่เคยรู้สึกอยากได้น้องสาวนะ อยู่กับพี่ชายน้องชายก็แฮปปี้แล้ว แต่สำหรับคุณปู่คุณย่าท่านอาจจะอยากได้ลูกสาว หลานสาวมั้ง เพราะท่านมีคุณพ่อเป็นลูกชายคนเดียว แถมรุ่นหลานก็ยังเป็นหลานชาย 3 คนรวดอีก ตอนพวกผมเด็กๆ เลยชอบจับมาแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงเป็นประจำเลย

ช้างน้อย : โดนกันทั้ง 3 คนเลยครับ จับมาใส่ชุดกระโปรงและก็ทำผม ผูกเปีย เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้ มีหลายอัลบั้มเลย

ข้างพลาย : ของผมจะโดนหนักสุด เพราะตอนเป็นเด็กผมจะไว้ผมบ๊อบ เลยยิ่งเหมือนเด็กผู้หญิงใหญ่เลย แถมผมจะอยู่กับคุณย่าเยอะสุด อย่างช่วงปิดเทอมบางที่น้อง 2 คน เขาจะไปอยู่กับคุณพ่อที่ประจำการต่างจังหวัด แต่ผมจะอยู่กับคุณย่าที่กรุงเทพฯ ตลอด ก็เลยโดนจับแต่งเป็นประจำ เลยจะมีภาพเก็บไว้เยอะมาก (ขอเอามาลงนิตยสารบ้างได้ไหมค่ะ) อย่าเลยครับ ให้พวผมดูกันเองก็พอ

ให้เล่าวีรกรรมสมัยเด็กๆ ในฟังในหน่อยว่า ใน 3 พี่น้องนี่ใครซนกว่ากัน หรือใครที่โดนทำโทษบ่อยที่สุด

ช้างพลาย : ผมว่าช้างน้อยซนที่สุดนะ แต่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมกับช้างตอนเด็กๆ ก็คงซนแหละ แต่เพราะเราโตมาไล่ๆ กัน เราเลยยังไม่รู้เรื่อว่าตัวเองซน(หัวเราะ) แต่ช้างน้อยนี่เขาเด็กกว่า 3-4 ปีไง พอตอนั้นเราเริ่มโตแล้ว เลยได้ทันเห็นว่าเขาซน แต่ก็ไม่ได้ซนอะไรมากนะ พวกเราเชื่อฟังพ่อแม่กันทุกคน

ช้างต้น : และบ้านเราไม่มีการทำโทษนะครับ คือคุณพ่อคุณแม่จะดุ แล้วก็มีขู่ๆ บ้างแต่ไม่เคยลงโทษอะไรจริงจัง

ช้างน้อย : เขาจะสอน แล้วก็เตือน แต่ถ้าไม่เชื่อฟัง เขาไม่ได้ทำโทษ แต่จะให้เราเรียนรู้เอง ว่าถ้าไม่เชื่อแล้จะเป็นยังไง ผมว่าวิธีนี้เป็นเสิ่งที่ดีนะครับ ไม่ต้องทำโทษหรอก เพราะพอเราได้เรียนรู้ถึงผลเสียของการไม่เชื่อฟังแล้วสุดท้ายเราก็จะไม่ทำอีก อย่างห้ามไม่ให้ไปเล่นปลั๊กไฟ จุดไฟ เมื่อเราไม่เชื่อฟัง พอทำไปก็โดนไฟลวก ไฟดูด เจ็บเอง ก็ได้เรียนรู้แล้วไม่ทำซ้ำอีก

ช้างพลาย : ถ้าพูดถึงวีรกรรมคงต้องผมนี่แหละ เพราะไม่รู้เป็นอะไร บาดเจ็บเยอะสุดแล้วในบ้าน ทั้งเคยตกต้นไม้ โดนไฟดูด หัวแตก ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยเลย คือ ก็ไม่ใช่ว่าซนนะ แต่เหมือนจะโชคร้ายกว่าใคร เลยเจออุบัติเหตุบ่อยกว่าคนอื่น

พี่น้องนักดนตรี

นอกจากพี่คนกลางช้างต้นที่เป็นนักดนตรีแจ๊ซมีชื่อของเมืองไทยแล้ว ทั้งพี่ช้างพลายและน้องช้างน้อยเอง ก็มีความสามารถทางดนตรีเช่นเดียวกัน เนื่องจากทั้ง 3 คน เล่นดนตรีและอยู่ชมรมดนตรีกันมาตั้งแต่เด็กๆ

ช้างน้อย : พวกเราเข้าชมรมดนตรีตั้งแต่ตอนประถมศึกษาปีที่ 3-4 ได้ เริ่มจากดนตรีไทยและก็ดุริยางค์ ซึ่งแต่ละคนก็เลือกเครื่องดนตรีที่ตัวเองชอบ ทางพี่ช้างพลายเขาเล่นคลาริเนต พี่ช้างต้นจะเล่นพวกดนตรีไทย ส่วนผมเป่าฟรุต เราอยู่ชมรมดนตรีมาจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยก็มีพี่ช้างต้นคนเดียวที่ยังคงสานต่อการเล่นดนตรีมาจนเป็นอาชีพในทุกวันนี้

ช้างต้น : ผมเริ่มจากเล่นดนตรีไทย แล้วก็มาเล่นพวกดนตรีสากล ดุริยางค์ กีต้าร์ จนขยับมาเป็นแจ๊ซ คือ มันเหมือนกับเป็นช่วงจังหวะของชีวิตที่มันลงตัวพอดี คือพอเข้ามหาวิทยาลัย ก็ไปเจอกับกลุ่มเพื่อนที่รักและสนใจดนตรีเหมือนกัน ก็เลยพากันเข้าชมรมดนตรี ชวนกันเล่น ทำวงสนุกๆ แล้วก็ได้รู้จักกับคนในวงการเพลง เขาก็ชวนไปเล่น เราก็ได้พัฒนา ฝึกฝนตัวเองตลอดจนกลายมาเล่นดนตรีอย่างจริงจังเลย

ช้างพลาย : ที่จริงเรื่องดนตรีนี่ผมเลยก่อนนะ อย่างตอนเล่นกีต้าร์ที่มาหัดเล่นเอาตอนช่วงมัธยมนี่ ผมก็เป็นคนขอพ่อแม่ก่อนไปเข้าคลาสเรียน แล้วช้างต้นก็ขอตามไปด้วย แต่เรียนไปเรียนมา เขาดูจะรุ่งกว่าผมเยอะ ตัวผมเองพอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ไม่ได้เล่นอีก เพราะหันไปทำกิจกรรมอื่นแทน

ช้างต้น : เรื่องดนตรีนี่ ที่จริงแล้วบ้านเราไม่ได้ว่ามีสายเลือดหรือสนใจด้านนี้เป็นพิเศษอะไรนะ เพราะคุณพ่อคุณแม่เองก็ไม่ได้เล่นดนตรีเลย แต่การให้ลูกๆ เข้าชมรมดนตรีตั้งแต่เด็กๆ ด้วยกันนี่ นับเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งของคุณพ่อคุณแม่ เพราะโรงเรียนเราอยู่แถวสาทร เวลาเลิกเรียนนี่จะรถติดมาก ก็แทนที่จะต้องเสียเวลาอยู่บนถนน ก็ให้เข้าชมรมทำกิจกรรมกันดีกว่า พวกเราก็จะเล่นดนตรี ซ้อมดนตรีจนถึง 6 โมงเย็น หรือ 1 ทุ่มแล้วค่อยกลับตอนนั้น ที่รถจะไม่ค่อยติดแล้ว

ช้างพลาย : ใช่ครับ เขาไม่ได้เน้นว่าต้องเป็นตนตรี คือ ขอให้ทำกิจกรรมอะไรก็ได้ ใช้เวลาให้คุ้มค่า แต่ที่เป็นชมรมดนตรีนี่มันเริ่มมาจากเพื่อนผมมาชวน ผมก็ขอที่บ้านเข้าชมรม ซึ่งพอผมอยู่ชมรมมันก็ต้องมีทำกิจกรรมซ้อมเลิกเลทใช่ไหม น้องๆ ต้องรอกลับพร้อมกัน ก็จะว่างไม่รู้จะทำอะไร ก็เลย เอ้า...ส่งไปเล่นด้วยกันหมดนั่นแหละ จะได้มารับกลับพร้อมๆ กันทีเดียวเลย ไม่ต้องตีรถไป-กลับ หลายรอบ(หัวเราะ)


ช้างน้อย : มันกลายเป็นเรื่องดีนะครับ เพราะการเล่นดนตรีมันให้อะไรเราหลายอย่างมาก ทั้งการฝึกเรื่องระเบียบวินัย การทำงานเป็นกลุ่ม ความขยัน อดทน และใช้เวลาให้เป็นประโยชน์

ช้างต้น : ผมว่าด้วยความที่เราทำกิจกรรมกันตั้งแต่เด็ก ด้วยการอยู่ชมรมดนตรีแบบนี้ ทำให้เวลาหลังเลิกเรียน เราก็ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเกเรที่ไหน ก็เข้าชมรมทำกิจกรรมแล้วก็กลับบ้าน ไม่เหมือนเด็กอื่นๆ ที่พอเลิกแล้วก็ไปนั่งเล่นที่สยามสแควร์ หรือไปแฮงก์เอาตามที่ต่างๆ ก่อนกลับบ้าน

ช้างพลาย : การเล่นดนตรีมันช่วยให้เราไม่ว่างไปคิดหรือทำเรื่องไร้สาระ เพราะเด็กๆ วัยรุ่น ถ้ามีเวลาเหลือเฟือเดี๋ยวก็จะคิดฟุ้งซ่าน หรือไปเที่ยวนั่นนี่ ทำให้เราไม่ตั้งใจเรียนด้วย แต่พอทำกิจกรรมเยอะๆ ที่นี่เรามีเวลาเหลือน้อย เราก็ต้องรู้แล้วว่า เวลาเรียนต้องตั้งใจ การบ้านต้องรีบทำ กลายเป็นทำให้เรารู้จักคุณค่าของเวลา แล้วก็รู้จักจัดตารางชีวิตให้ดี แบ่งเวลาเป็น

ช้างน้อย : คือพอต้องทำกิจกรรม ต้องเข้าชมรม ต้องซ้อม มันทำให้เรามีแพลนในใจว่าตอนไหนต้องทำอะไร แต่ถ้าเกิดไม่ต้องทำอะไรพวกนี้ เรียนอย่างเดียว เวลาเหลือว่างเราจะเยอะ ทำให้เราไม่ต้องโฟกัสมาก เลยจะกลายเป็นว่าเราปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ แบบไม่มีประโยชน์

มหาวิทยาลัย ช่วงเวลาแห่งกิจกรรม

หลังจากอยู่โรงเรียนเดียวกันและเล่นชมรมดนตรีด้วยกันมาตลอดในช่วงประถมและมัธยม พอถึงเวลาเข้ามหาวิทยาลัยทั้ง 3 หนุ่มได้แยกย้ายกันเข้าศึกษาสถาบันและสายวิชาที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ไว้ไม่เปลี่ยนคือ ความเป็นนักกิจกรรมตัวยง

ช้างพลาย : พอเข้ามหาวิทยาลัย ผมไม่ได้เล่นดนตรีต่อ แต่หันมาเล่นกีฬาแทน โดยผมเป็นนักรักบี้ของมหาวิทยาลัยเกษตร ก็ยังคงซ้อมหนัก กลับบ้านค่ำอยู่เหมือนเดิม(หัวเราะ) แถมบางวันไม่กลับ นอนค้างชมรมก็บ่อยถ้าเป็นในช่วงที่มีเตรียมแข่งต้องซ้อม

ช้างต้น : ผมว่าช่วงมหาวิทยาลัยน่าจะเป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่เหงาสุดนะ เพราะถึงลูกๆ จะอยู่แค่มหาวิทยาลัยเกษตร, จุฬาฯ และธรรมศาสตร์ ทุกคนยังอยู่ที่บ้านไม่ได้ย้ายไปเรียนที่ไหนไกล แต่กลับไม่ค่อยได้เห็นหน้าลูกๆ เท่าไร เพราะแต่ละคนทำกิจกรรมกันหนักมาก ผมเองก็อยู่ชมรมดนตรี และชอบไปเข้าค่าย ส่วนช้างน้อยยิ่งแล้วใหญ่ เพราะทำกิจกรรมหลายอย่างมาก แถมเป็นประธานเชียร์ของธรรมศาสตร์ด้วย

ช้างน้อย : ที่บ้านเราทำกิจกรรมกันจริงจังมากครับ อย่างช่วงที่ผมไปเล่นละครเวทีของมหาวิทยาลัย ระหว่างช่วงซ้อมเตรียมงานนี่ นอนค้างมหาวิทยาลัยเป็นเดือนเลยนะ จะกลับบ้านแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ห้ามนะครับ แต่ก็มีเป็นห่วงบ้าง พวกผมก็จะโทรศัพท์หา ถ้าวันไหนจะกลับดึก หรือช่วงไหนจะค้างมหาวิทยาลัย แจ้งให้ท่านทราบจะได้สบายใจไม่ต้องห่วงว่าหายไปไหน

ช้างพลาย : ผมว่าชีวิตผู้ชายวัยรุ่นก็น่าจะเป็นคล้ายๆ กันหมดนะ ที่จะอยู่กับมหาลัย กิจกรรม แล้วก็เพื่อนๆ ช่วงนั้นพ่อแม่แทบไม่ได้เห็นหน้าเท่าไร ขนาดว่าอยู่บ้านเดียวกัน นอนห้องติดกันแท้ๆ แต่ได้เจอกันน้อยกว่าทุกวันนี้ที่แยกเรือนออกมาเป็นบ้านใครบ้านมันแล้วซะอีก

ช้างต้น : คุณพ่อคุณแม่ท่านให้อิสระเราใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ คือพออายุ 18 ปีเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนี่จะไปเที่ยวไหน ไปกับใคร เขาไม่ค่อยห้าม ไม่เคยว่านะ เขาให้เกียรติที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ให้ดูแลชีวิตตัวเองได้แล้ว แต่ถ้าตอนอายุยังไม่ถึง 18 ปีนี่ไม่ได้เลยนะ ไปไหนต้องขออนุญาตก่อน เขาเลี้ยงดูเราตามสเต็ปแต่ละช่วงอายุ

3 ครอบครัวรวมเป็นหนึ่ง

จากตอนมหาวิทยาลัยที่หนุ่มๆ บอกว่าแทบจะไม่ได้อยู่บ้านให้พ่อแม่เห็นหน้าค่าตาสักเท่าไร แต่มาในวันนี้เมื่อทั้ง 3 พี่น้องต่างแยกยายกันไปสร้างครอบครัวของตัวเอง แต่การที่อยู่ในอาณาเขตบริเวณบ้านเดียวกัน ทำให้ครอบครัวกุญชรในทุกวันนี้สนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งกว่าในแต่ก่อนเสียอีก

ช้างพลาย : เราได้คุยกันไว้แต่แรกแล้วว่า จะสร้างบ้านอยู่ในบริเวณเดียวกัน อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่จะได้ไม่เหงา โดยทางคุณย่าทวดที่ซื้อที่ตรงนี้ไว้ ก็เล็งไว้แล้วว่าอยากให้หลานๆ อยู่ด้วยกัน เลยเป็นที่ดินแปลงใหย่เลย ซึ่งแต่ก่อนจะมีแค่อาคารด้านหน้าซึ่งเป็นเรือนของคุณพ่อคุณแม่ ส่วนด้านหลังนี่เป็นป่ารกเลย ก็เลยลงความเห็นกันว่าแบ่งที่ข้างหลังปลูกบ้านของแต่ละคนไป


ช้างน้อย : ซึ่งผมก็มองว่ามันก็เป็นแบบแผนที่ดีสำหรับครอบครัวคนไทยนะ ที่ในปัจจุบันนี้ปกติพอแล้วพอแต่งงานก็จะแยกบ้านกันออกไป ปู่ย่าอยู่ที่หนึ่ง ลูกหลานอยู่อีกที แต่แบบนี้เราสามารถอยู่กันเป็นครอบครัวขยายแบบในสมัยก่อน ที่มีหลายเจเนอเรชั่นอยู่ด้วยกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเป็นส่วนตัวของแต่ครอบครัวด้วย


ช้างต้น : หลานๆ ก็จะได้มีเพื่อนเล่นด้วยกัน และเขาก็ได้ใช้เวลากับคุณปู่ คุณย่าทุกวัน โดยช่วงหัวค่ำพวกเด็กๆ เขาก็จะนัดเจอกัน ไปวิ่งเล่นกัน ไปสนุกกันที่บ้านปู่ มี Lineกลุ่มครอบครัว นัดหมายเวลาทำกิจกรรมต่างๆ กัน


ช้างพลาย : ทุกวันอาทิตย์บ้านเราจะถือเป็นวันครอบครัว คือจะกินข้าวเย็นด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา นั่งกันเต็มโต๊ะเลย 14 คน ซึ่งก็ไม่เลี้ยงอะไรพิเศษหรอก ก็ทานข้าวเย็นกันธรรมดานี่แหละ แต่เป็นวันที่จะได้กันครบคนเท่านั้นเอง


ช้างน้อย : ที่จริงมันก็ไม่ได้ถึงขนาดเคร่งครัดว่าห้ามขาด ต้องมาให้ครบ อะไรแบบนั้น คือใครมีธุระอะไร มีนัดหมายสำคัญก็ไปได้ แต่มันก็เหมือนว่าเรารู้กันโดยปริยายอยู่แล้ว ว่าเวลานัดหมาย หรือมีงานอะไรพยายามเลี่ยงวันอาทิตย์ เพื่อที่ทั้งครอบครัวจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งหมด ผู้ใหญ่ก็ได้พูดคุยกัน และพวกเด็กๆ เขาก็จะสนุกด้วยกัน


ช้างต้น : อีกธรรมเนียมสำคัญของบ้านเราที่ขาดไม่ได้คือ การเป่าเค้กวันเกิด ซึ่งเด็กๆ จะชอบมาก คือ เขารู้สึกสนุก แล้วสมาชิกครอบครัวเรามี 14 คนนี่ ก็เฉลี่ยมีเป่าเค้กกันทุกเดือนแหละครับ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าจะเป็นงานเลี้ยงวันเกิดใหญ่โตอะไรนะ ไม่ได้เป็นงานเลี้ยงด้วยซ้ำ ก็แค่กินข้าวกัน เค้กบางทีก็ไม่มี ขอแค่มีเทียนก็พอ ใช้ปักบนโดนัทบ้าง ขนมบ้าง


ช้างน้อย : คือ เด็กๆ เขาแค่สนุกกับการเป่าเค้ก แล้วก็ไม่ใช่ว่าแค่เจ้าของวันเกิดนะที่ได้เป่า แต่ทุกคนจะได้เป่ากันหมดเลย เพราะแต่ก่อนเคยมีแย่งกันเป่างัย เด็กๆ ทุกคนอยากเป่าเค้ก ตอนหลังมานี่เวลามีวันเกิดใครก็แล้วแต่ จะปักเทียนให้คนละอันเลย ไม่ว่าวันเกิดใครทุกคนก็ได้เป่าเหมือนหมด(หัวเราะ)

ช้างพลาย : นอกจากกินข้าวด้วยกันเป็นประจำแล้ว ทุกปีครอบครัวเราก็จะมีทริปประจำปีทีทุกคนจะไปพร้อมกันหมด โดยเริ่มจากเมื่อหลายปีก่อนคุณแม่จัดทริปครอบครัวช่วงวันเกิดท่าน ไปเที่ยวเขาใหญ่กันทั้งครอบครัว พวกเราสนุกสนานกันมาก หลังจากนั้นก็พยายามจะหาเวลาว่างเดินทางไปเที่ยวพร้อมหน้ากันให้ได้ทุกปี

ช้างน้อย : ก่อนหน้านี้ก็เริ่มจากเขาใหญ่ วังน้ำเขียว จนมาที่ผ่านมาก็มีไปฮ่องกงกัน จะไปกันช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงวันเกิดคุณแม่ ถึงสมาชิกจะเยอะแต่ก็รวมตัวกันไม่ยากเท่าไร เพราะเรานัดกันล่วงหน้านานมาก ทุกคนรู้คิวอยู่แล้วเลยสามารถเคลียร์คิวให้ว่างได้

ช้างต้น : บางทีก็ผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ทุกคนช่วยๆ กัน ไม่ได้แบ่งหน้าที่ว่าใครทำอะไร จองตั๋ว จองโรงแรม หรือติดต่อทัวร์ แต่จะเป็นว่าใครเชี่ยวชาญด้านไหน หรือช่วงไหนใครว่างก็ช่วยๆ กันมากกว่า คือใครถนัดถิ่นไหน ก็จะช่วยแนะนำ ช่วยกันออกความคิดเห็นกัน

ช้างน้อย : ที่จริงเรา 3 คน สไตล์การเที่ยวไม่ได้ตรงกันสักเท่าไร แต่ทุกทริปที่ไปนี่ไม่เคยมีปัญหา เราสรุปกันได้ลงตัวมาก เพราะคำตอบอยู่ที่ลูก(หัวเราะ) ต้องเที่ยวตามใจเด็กครับ เพราะเด็กๆ ถือเป็นเสียงส่วนใหญ่ ก็เลยต้องเน้นกิจกรรมสำหรับเขาเป็นหลัก สวนสนุก ธีมพาร์ก ต้องมี เรื่องชอปปิ้ง เดินเที่ยวนี่เอาไว้ท้ายสุดเลย เพราะเวลาเด็กๆ สนุก ผู้ใหญ่ก็จะสนุกไปด้วย ก็จะเป็นทริปที่มีความสุขกันทั้งครอบครัว

ภาคภูมิใจกับชื่ออันเป็นเอกลักษณ์

เมื่อนัดทั้ง 3 หนุ่มมาคุยกันได้พร้อมหน้าอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะถามถึงเรื่องชื่ออันแสนแปลกสะดุดหูไม่เหมือนใครของทั้งช้างพลาย ช้างต้น และช้างน้อย ว่ารู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ และเคยคิดจะเปลี่ยนชื่อบ้างไหม?

ช้างน้อย : ไม่เคยคิดอยากเปลี่ยนนะครับ ซึ่งที่จริงแล้วชื่อผมนี่หนักสุดเลยนะ เพราะในการ์ตูนชินจัง มันหมายถึง ตรงนั้นของผู้ชาย แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรนะ อาจจะเป็นเพราะเราได้ยินชื่อพี่ก็แบบนี้ ชื่อเราเองก็เลยชิน ก็เป็นชื่อที่แปลกดี เพื่อนๆ ทุกคนจำชื่อเราได้หมด เพราะมันไม่เหมือนใคร

ช้างพลาย : แต่ผมเคยคิดอยากจะเปลี่ยนนะ เพราะตอนเด็กๆ จะโดนเพื่อนล้อตลอดเลย ล้อว่าช้างเน่าบ้าง ช้างเผือกบ้าง ช้างเหม็นบ้าง เคยกลับมาบ่นกับคุณย่า แล้วขอให้เปลี่ยน ท่านก็เคยรับปากว่าจะเปลี่ยนให้นะ ไปให้หมอหาชื่อใหม่เรียบร้อยแล้วด้วย แต่ช่วงนั้นก็เหมือนผลัดไปเรื่อยๆ ไม่ว่างจะไปเปลี่ยนให้สักที พอเวลาผ่านไปก็เลยสุดท้ายก็เลยไม่ได้เปลี่ยน แต่ผมว่ามันก็เรื่องดีนะที่ไม่เปลี่ยน เพราะตอนนี้กลายเป็นว่าชื่อเราเก๋ แปลกไม่เหมือนใครดี ซึ่งพอเราไปแนะนำตัว หรือคุยอะไรกับใคร เขาจำชื่อเราได้ทันที ถ้าตอนนั้นเปลี่ยนชื่อ ก็อาจจะกลายเป็นคนชื่อโหลไปแล้วก็ได้

ช้างน้อย : พอโตมาใช้ชื่อแบบนี้ ต้องถือว่าเป็นโชคดีเลยครับ เพราะด้วยความที่งานผมต้องติดต่อประสานกับคนอื่นๆ มันเป็นการสร้างคอนเน็กชั่นที่ดีมาก คือเวลาเอ่ยชื่อผมไปปุ๊ป ทุกคนจำได้ หรือใครได้ยินชื่อเรา หรืออย่างเวลาเข้าไปคุยกับลูกค้า หรือผู้หลัก ผู้ใหญ่ พอเราแนะนำตัวชื่อไปปั๊ป เขาจะสะดุดหู แล้วถามต่อ ที่มาที่ไป กลายเป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนา มันทำให้มีเรื่องราวที่จะคุยกับคนแปลกหน้า หรือคนไม่รู้จักได้ง่ายกว่าชื่อแบบธรรมดาทั่วไปนอกจากนี้ถ้าผมได้คุยกับใคร ที่เขารู้จักพี่ช้างพลาย ช้างต้น ไม่ต้องแนะนำตัวอะไรมาก แค่เอ่ยชื่อ เขารู้ได้ทันทีเลยว่าเราเป็นน้องชายแน่ เพราะมันไม่มีใครในโลกนี่แล้วที่จะชื่อแบบนี้ นอกจากเรา 3 พี่น้อง


ช้างต้น : ไม่เชื่อลองเสิร์จหาในพันทิพดูได้ครับ ทุกครั้งที่พูดถึงคนชื่อแปลก ต้องมีชื่อเรา 3 คนติดอยู่ด้วยตลอด แต่ชื่อแบบนี้ก็มีข้อเสียอยู่อย่างนะ คือ ด้วยความที่ชื่อขึ้นต้นว่าช้าง บรรดาเพื่อนๆ ก็เลยมักจะเรียกชื่อเล่นเราสั้นๆ ว่า “ช้าง” ที่นี่พอโทรศัพท์มาที่บ้าน พูดว่าขอสาย “ช้าง” ที่บ้านก็จะงงกันแล้วว่า จะคุยกับช้างไหน ก็ต้องไล่เรียงถามว่าเป็นเพื่อนใคร เรียนที่ไหนถึงจะได้เรียกให้มารับสายได้ถูก (หัวเราะ) เพราะคนที่บ้านจะเรียกชื่อเราว่า พลาย, ต้น, น้อย ครับ


ลูกช้างเจเนเรอชั่นใหม่

นอกจากชื่อของรุ่นลูกทั้ง 3 จะเป็นชื่อช้างแล้ว ช้าง 3 พี่น้องนี้ยังสานต่อธรรมเนียมปฏิบัติของราชสกุล กุญชร เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยเลือกตั้งชื่อลูกๆ ให้สื่อความหมายถึงช้างเช่นเดียวกัน

ช้างน้อย : ลูกสาว 2 คนของผม ใช้ชื่อที่หมายถึงช้างทั้งคู่ คือคนโตชื่อน้อง เอรา ซึ่งมาจาก ช้างเอราวัณ และคนเล็ก คือ น้องไอยรินทร์ ซึ่งผสมมาจากคำว่า ไอยรา กับพระอินทร์


ช้างพลาย : ของผม ลูกสาวคนโตนี่แหวะออกไป คือใช้ชื่อ ติชิลา ซึ่งหมายถึงพระจันทร์ เป็นชื่อที่ผมและภรรยาชอบ ที่สำคัญคือ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะใช้ชื่อนี้ เราเลือกเอาไว้หลายชื่อมากและใช้การจับฉลาก ซึ่งจับขึ้นมา 3 ครั้งก็ได้ชื่อเดิมทั้ง 3 ครั้ง ก็เลยคิดว่าดวงเขาน่าจะเหมาะกับชื่อนี้จริงๆ แหละ ส่วนลูกชายกลับมาใช้ชื่อที่หมายถึงช้าง เพราะผมว่าผู้ชายกับช้างมันดูเข้ากันดี ก็เลยได้ชื่อว่า ด.ช.กริน


ช้างต้น : ของผมนี่ลูกชายคนโต ได้ชื่อว่า ทันตี คุณตาตั้งให้ เป็นศัพท์ที่มีความหมายว่า ช้าง ส่วนลูกสาวคนเล็ก ใช้ชื่อว่า ไอรา ได้มาจาก ตอนนั้นไปเที่ยวปางช้างที่แม่สาย เห็นเขาใช้ชื่อนี้ ก็ได้เอ่ยคุยกับภรรยาว่าถ้ามีลูกสาวอยากใช้ชื่อนี่ ก็ไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไร หรือว่าจะเป็นไอยรา แต่เขียนตกตัวอักษรไป แต่ด้วยเสียงและตัวสะกด มันออกมาเป็นชื่อที่เราชอบ แล้วก็ไปเจอในปางช้างด้วย ก็เลยคิดว่าชื่อนี่แหละเหมาะที่สุดแล้ว


หลังจากพูดคุยกันพี่น้องสกุลกุญชรทั้ง 3 บ้านแล้ว ต้องขอบอกเลยว่าคุณพ่อเอราวัต และคุณแม่ปริยาเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนมีคุณภาพ ทั้งความสามารถ ความเก่งเกาจ และมีทัศนคติที่ดี แถมยังได้สะใภ้ทั้ง 3 ซึ่งน่ารักและรักใคร่กลมเกลียวกันดี พร้อมที่จะช่วยสานต่อเลี้ยงดูทายาทสายเลือดช้างรุ่นต่อๆ ไป ให้เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามไม่แพ้รุ่นคุณพ่อช้าง 3 เชือกนี้อย่างแน่นอน :: Text by FLASH
กำลังโหลดความคิดเห็น