ASTV ผู้จัดการ - ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกคนละ 18 ปี อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย คดีปล่อยเงินกู้ให้ บมจ.กฤษดามหานคร ร่วมหมื่นล้านบาทโดยมิชอบ ส่วน “ทักษิณ” จำเลยที่ 1 คดีเดียวกันอยู่ระหว่างหลบหนี ให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (26 ส.ค.) นายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ รวม 9 คน ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หมายเลขดำ อม.3/2555 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย, กรรมการบริหาร,คณะกรรมการสินเชื่อ,เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทในเครือกฤษดามหานคร และ 3 บริษัทในเครือกฤษดามหานคร เป็นจำเลยที่ 1-27ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, ความผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505, ความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และ ความผิด พ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ. 2535
โดยคำฟ้องสรุปพฤติการณ์ของจำเลยว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้สินเชื่อกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร เนื่องจาก ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ 1. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทอาร์เคโปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500ล้านบาท 2. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400ล้านบาท) และ 3. การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร ประโยชน์ส่วนตนกับพวก
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ธนาคารกรุงไทยมีสถานะเป็นองค์กรของรัฐ เนื่องจากมีกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ภายใต้การกำกับดูและของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งถือครองหุ้นธนาคารกรุงไทยเกินร้อยละ 50 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามนิยามของพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ที่จำเลยต่อสู้ว่าธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจและไม่อาจฟ้องจำเลยตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานฯ จึงรับฟังไม่ได้
ส่วนจำเลยที่ 2-5 และ 8-17 ร่วมกันอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทอาร์เคจำเลยที่ 18 และบริษัทโกลเด้น จำเลยที่ 19 โดยฝ่าฝืนประกาศและคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ ธ.222/2545 เรื่องนโยบายสินเชื่อที่กำหนดให้มีการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ซื้อ และคำสั่งของธนาคารกรุงไทยเรื่องความเสี่ยงของการอนุมัติสินเชื่อหรือไม่ เห็นว่า จากการไต่สวนแลพยานซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัททั้งสอง รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 18-19 มีจำเลยที่ 23-25 เป็นกรรกมารผู้มีอำนาจ และบริษัทดังกล่าวก็อยู่ในเครือของบมจ. กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ซึ่งจำเลยที่ 18-20 ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างอยู่ในสภาพมีหนี้สินจำนวนมากกับสถาบันการเงินหลายแห่ง ไม่มีรายได้ต่อเนื่องกันหลายปี มีดอกเบี้ยค้างชำระเพิ่มพูนขึ้น เกิดการขาดทุนสะสมหลายปี ทำให้ฐานะการเงินไม่มั่นคง ความสามารถในการหารายได้ต่ำจนไม่น่าเชื่อว่าจะชำระหนี้ได้ซึ่งบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ก็ถูกธนาคารกรุงไทยผู้เสียหายกำหนดเงื่อนไขห้ามไม่ให้ก่อหนี้สินเชื่ออีก อีกทั้งในการเสนอขอสินเชื่อของบริษัทอาร์เคฯ จำเลยที่ 18 แม้ว่าจำเลยจะไม่เคยเป็นลูกหนี้ของธนาคารกรุงไทยและอ้างว่าจะนำเงินกู้ไปซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไร แต่เป็นการอ้างขายให้กับจำเลยที่ 20 ซึ่งมีไม่อยู่ในสถานะมั่นคงในการหารายได้ หรือมีเงินที่จะซื้อที่ได้ ส่วนที่บริษัทโกลเด้นฯ จำเลยที่ 19 เสนอขอสินเชื่ออ้างทำโครงการกฤษดาซิตี้ 4000 แต่ก็ไม่มีแผนงาน พิมพ์เขียว รายงานแสดงงบประมาณ แต่เพิ่งมาทำก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ขณะที่ภายหลังก็มีการอ้างว่าจะนำเงินกู้ไปทำการรีไฟแนนซ์ที่บริษัทเป็นหนี้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการเจรจาหนี้จนลดลงที่ต้องชำระ 4500 ล้านบาท และจะทำเงิน 500 ล้านบาทไปซื้อที่ดิน และอีก 1 พันกว่าล้านนำไปพัฒนาโครงการกฤษดาซิตี้ฯ แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าที่ดินที่มีการอ้างว่าจะทำโครงการนั้น มีชื่อบุคคลภายนอกถือครองกรรมสิทธิ์กว่า 100 ไร่ และภายหลังจำเลยที่ 19 ยังยื่นขอสินเชื่อเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาโครงการกฤษดาซิตี้โดยขอเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 19 ไม่ตั้งใจทำโครงการตามที่อ้างขอเสนอสินเชื่อ ซึ่งโครงการที่มีการเสนอขอสินเชื่อนั้นถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีวงเงินที่สูง แต่จำเลยกลับไม่มีรายละเอียดและข้อมูลที่จำเป็นประกอบการขอสินเชื่อ เพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของโครงการ โดยที่การตรวจสอบก่อนจะเสนอขอสินเชื่อของบริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 5-17 ซึ่งเป็นกรรมการอนุมัติสินเชื่อ โดยจำเลยที่ 12 ซึ่งเป็นประธานกรรมการพิจารณาสินเชื่อที่มีบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 เป็นลุกค้า ก็ย่อมจะรู้ดีอยู่แล้วถึงข้อมูลว่าบริษัทจำเลยที่ 18-19 เป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 20ซึ่งเป็นหนี้สถาบันการเงินหลายแห่ง มีการปรับโครงสร้างหนี้หมายครั้ง จนถูกห้ามก่อหนี้เพิ่ม และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีความสี่ยงสูง แต่จำเลยที่ 5-17 ยังคงเสนอให้อนุมัติสินเชื่อให้กับจำเลยทั้งสอง โดยให้ความเห็นว่าอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงพอรับได้ และการกระทำดังกล่าวยังเป็นในลักษณะเร่งรีบเพื่อปล่อยกู้ให้ทัน เป็นการเปิดช่องให้จำเลยทั้งสองนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยนำไปชำระหนี้สถาบันการเงินอื่นและซื้อหุ้นจากเจ้าหนี้คืนเพื่อให้จำเลยที่ 20 กลับมามีอำนาจการบริหารในอนาคต จากเดิมที่มีสถานะไม่มั่นคง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2-5 และ 8-17 ซึ่งเป็นกรรมการสินเชื่ออนุมัติยินยอมอนุมัติวงเงินให้จำเลยทั้งสอง จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ สร้างความเสียหายให้กับธนาคารกรุงไทยและประชาชนที่ฝากเงิน
ส่วนที่ร.ท.สุชาย, นายวิโรจน์, และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา กรรมการบอร์ดกรุงไทย จำเลยที่ 2-4อนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ให้กับบจก. แกรนด์คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่นจำเลยที่ 22 นั้น การที่นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3 ให้เครดิตการชำระเงินขายหุ้นให้นานถึง 4 เดือน และยังมีการมอบฉันทะให้บจก.แกรนด์คอมพิวเตอร์ฯ จำเลยที่ 22 ออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 แม้ว่าหุ้นจะไม่ใช่สินเชื่อ แต่ลักษณะของการดำเนินการดังกล่าว ก็เป็นการให้สินเชื่ออย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรื่องนโยบายสินเชื่อ ในการวิเคราะห์ความสี่ยง ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2-4 ดังกล่าวทำให้ธนาคารกรุงไทยขายหุ้นไปโดยไม่ได้รับการชำระค่าหุ้น และการมอบฉันทะให้จำเลยที่ 22 เข้าประชุมผู้ถือหุ้นจนมีการลงคะแนนเสียงลดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ์ ทำให้มีมูลค่าเป็นศูนย์ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบเช่นกัน เพราะเป็นการให้สินเชื่อในกรณีพิเศษ
ส่วนที่จำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกันกระทำผิดหรือสนับสนุนจำเลยที่ 1 นั้น ได้ความจากพยานซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อธนาคารกรุงไทยว่า ก่อนการประชุมอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาหาพยานและบอกว่า บิ๊กบอส หรือซุปเปอร์บอสได้ดูดีแล้ว ไม่ให้คัดค้านการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 ซึ่งในชั้นพิจารณากับชั้นไต่สวนของคตส. พยานยังเบิกความไม่ชัดเจนว่า บิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 หรือภรรยาของจำเลยที่ 1 กันแน่ แม้จะมีอ้างถึงเงินจากเครือบริษัทจำเลยโอนเข้าบัญชีบุตรของจำเลยที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 แต่ก็พบว่ากลุ่มคนดังกล่าวก็เกี่ยวพันกับภรรยาของจำเลยที่ 1 พยานจึงอาจเข้าใจตามความคิดของพยานเองว่าบิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 ดังนั้น ชั้นนี้อาจยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกับจำเลยที่ 1
จึงพิพากษาให้จำคุก ร.ท.สุชาย, นายวิโรจน์, นายมัฌชิมา และ นายไพโรจน์ รัตนะโสภา จำเลยที่2-4และ 12คนละ 18 ปี ตามความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502ม.4ซึ่งเป็นบทหนักสุด ส่วนจำเลยที่ 5,8-11,13-17ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารกรุงไทย ผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.4 จำคุกจำเลยทั้ง 10คนในส่วนนี้ คนละ 12 ปี
สำหรับนายวิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านกฤษดามหานคร จำเลยที่ 25 และจำเลยที่ 18-27ซึ่งนิติบุคคล และผู้บริหารบริษัทในเครือกฤษดานคร มีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4โดยให้ปรับจำเลยที่ 18-22ซึ่งเป็นนิติบุคคล รายละ 26,000 บาท และให้จำเลยที่ 23-27จำคุกคนละ 12 ปี และให้จำเลยที่ 20,25 และ26รวมกันคืนเงิน 10,004,467,480 บาท แก่ธนาคารกรุงไทย ผู้เสียหาย
นอกจากนี้ให้นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3, 22 และจำเลยที่ 27ร่วมรับผิด 9,554,467,480 บาท และให้จำเลยที่ 12-17, 21, 23 และ 24ร่วมรับผิดจำนวน 8,818,732,100 บาท ส่วนจำเลยที่ 18 ร่วมรับผิด 450ล้านบาท และจำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8-11และ 19 ร่วมรับผิดจำนวน 8,368,732,100 บาทหากจำเลยที่ 18-22ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6-7
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาญาติจำเลยมีอาการโศกเศร้า บางรายถึงกับร้องไห้ออกมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำรถเรือนจำมารับจำเลยเพื่อไปควบคุมตัวต่อที่เรือนจำพิเศษกรุเทพต่อไป
สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง 27 คน ประกอบด้วย กลุ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อ คือ นายประพันธ์พงศ์ ปราโมทย์กุล จำเลยที่ 13 นางกุลวดี สุวรรณวงศ์ จำเลยที่ 14 นางสุวรัตน์ ธรรมรัตนพคุณ จำเลยที่ 15 นายประวิทย์ อดีตโต จำเลยที่ 16 นางศิริวรรณ ชินอิสระยศ จำเลยที่ 17 นายไพโรจน์ รัตนะโสภา จำเลยที่ 12
กลุ่มคณะกรรมการสินเชื่อ คือ นายพงศธร ศิริโยธิน จำเลยที่ 5 นายนรินทร์ ดรุนัยธร จำเลยที่ 6 นางนงนุช เทียนไพฑูรย์ จำเลยที่ 7 นายโสมนัส ชุติมา จำเลยที่ 8 นายสุวิทย์ อุดมทรัพย์ จำเลยที่ 9 นายวันชัย ธนิตติราภรณ์จำเลยที่ 10 และนายบุญเลิศ ศรีเจริญ จำเลยที่ 11
กลุ่มคณะกรรมการบริหาร คือ ร้อยโทสุชาย เชาว์วิศิษฐ์จำเลยที่ 2 นายวิโรจน์ นวลแข จำเลยที่ 3 และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา จำเลยที่ 4
กลุ่มนิติบุคคลทั้งหมด คือ บริษัทอาร์เคฯ โดยนายบัญชา ยินดี และ นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 18 บริษัทโกลเด้นฯ โดยนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา และนายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 19 บริษัทกฤษดามหานครฯ โดยนางปรานอม แสงสุวรรณเมฆา และนายธเนศวร สิงคาลวณิช นายรัชฎากฤษดาธานนท์จำเลยที่ 20 บริษัทโบนัสบอร์น จำกัด โดยนายชุมพร เกิดไพบูลย์รัตน์ จำเลยที่ 21 บริษัทแกรนด์คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่น จำกัด โดยนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 22
กลุ่มผู้แทนนิติบุคคลเป็นการส่วนตัวทั้งหมด คือ นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 23 นายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 24 นายวิชัย กฤษดาธานนท์จำเลยที่ 25 นายรัชฎากฤษดาธานนท์จำเลยที่ 26 นายไมตรี เหลืองนิมิตมาศ จำเลยที่ 27
กลุ่มนักการเมือง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ จึงให้ออกหมายจับ ติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดี โดยให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณไว้เป็นการชั่วคราว