>>ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในช่วงชีวิตของคนเราจะประสบพบเจอจุดเปลี่ยน อาจจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง แต่จุดเปลี่ยนเหล่านี้ก็จะนำบทเรียนในชีวิตมาให้เราเสมอ เหมือนกับ “บัณฑิต รัตนศิริทรัพย์” ซีอีโอหนุ่มวัย 26 ปี กรรมการผู้จัดการ บริษัท Thai Auto DNA เขามาเล่าถึงประสบการณ์ชีวิต และจุดหักเหที่เกิดขึ้นจากการได้ไปร่ำเรียนที่ประเทศเยอรมนี
ในฐานะลูกชายคนเดียวและคนสุดท้องของบ้าน ชีวิตของ “บิว-บัณฑิต” ก็คงจะไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย เมื่อคุณพ่อ “ชัยรัตน์” เป็นถึงผู้ถือหุ้นของนิคมอุตสหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ในขณะที่คุณแม่ “นารี” มีกิจการโรงงานเสื้อผ้า เรียกได้ว่าเขาเกิดมาบนกองเงินกองทองก็คงจะไม่ผิดนัก
แต่การตัดสินใจของเขาเพื่อจะไปเรียนที่เยอรมนี ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านวิศวกรรมศาสตร์ ก็เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต “ผมเรียนที่เมืองไทยตลอด จนเข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนที่ธรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ แต่เรียนไปได้ 1 ปี พอดีมีญาติแนะนำให้ลองดูมหา'ลัยที่โน่น ผมก็สนใจ จึงเริ่มศึกษาหาข้อมูล ไปเรียนภาษาเยอรมัน และลองส่งใบสมัครไป ปรากฏว่าได้ ถือว่าค่อนข้างฟลุกนะครับ เพราะถ้าเราไม่ได้จบไฮสคูลจากยุโรป มันจะยากนิดนึง”
บัณฑิตใช้เวลาตัดสินใจเลือกทางเดินใหม่ของชีวิตในเวลาไม่นาน แม้จะยังไม่รู้ว่าการไปเรียนที่นั่นจะเป็นอย่างไร ซึ่งเขายอมรับว่าช่วงแรกๆ เป็นช่วงที่หนักหนาพอสมควร และต้องเผชิญกับอาการโฮมซิกไม่น้อย
“คราวนี้ชีวิตก็เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ ต้องปรับตัวเยอะ ทำให้เป็นโฮมซิกอยู่นานเหมือนกัน เพราะเมืองที่ผมไปอยู่คือ ดุยส์บวร์ก ซึ่งเงียบมากๆ เราเป็นเด็กกรุงเทพฯ โตที่กรุงเทพฯ มาตลอด ที่นี่มีทุกอย่าง อีกอย่างคือผมเป็นลูกคนเล็ก ใช้ชีวิตแบบสบาย ไม่ต้องทำอะไร พอไปอยู่โน่น ผมต้องทำเองทุกอย่างจริงๆ ซักผ้า ทำความสะอาดห้อง ทำกับข้าว เป็นพนักงานเสิร์ฟ ดูแลรายจ่ายต่างๆ ดูแลจัดการชีวิตเองหมด”
ไม่เฉพาะแค่เรื่องชีวิตประจำที่ต้องเปลี่ยน แต่ยังรวมไปถึงเรื่องการเรียนด้วย ซึ่งบัณฑิตบอกว่า ระบบการศึกษาของเยอรมนีต่างจากที่ไทยพอสมควร ทำให้เด็กที่เรียนได้เกรดสามกว่าๆ ในเมืองไทยอย่างเขา เป๋ได้เหมือนกัน “ตอนเรียนที่เมืองไทย ผมจำสูตรเข้าไปสอบก็ทำได้แล้ว แต่การเรียนที่เยอรมัน จะเน้นให้เราศึกษาเอง เน้นความเข้าใจ ที่มาต่างๆ พอมาเรียนที่นี่ เกรดตกฮวบเลย เพราะถึงแม้คำตอบเราจะถูก แต่อาจารย์ก็ตัดคะแนนเราตรงที่เราไม่ได้พิสูจน์ที่มา เราก็ต้องใช้เวลาปรับตัวเรื่องเรียนอีก แต่ก็ไม่นานครับ”
บัณฑิตใช้เวลา 6 ปีครึ่ง อยู่ที่เยอรมัน เพื่อเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาเครื่องกล ทั้งในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยดุยส์บวร์ก เอสเซนส์ หลังจากเรียนจบปริญญาโท เขามีความคิดที่จะหางานทำและใช้ชีวิตต่างบ้านต่างเมืองไปอีกสักระยะ เพราะติดใจสภาพแวดล้อมและสังคมที่นั่น
“อยู่ที่เมืองไทยสบายกว่าก็จริง แต่ที่เยอรมัน ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบ จนทำให้ผมกลายเป็นคนมีระเบียบขึ้นมาทันที และคนเยอรมันขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก เราเลยชินกับสภาพแวดล้อมของเขาพอสมควร ไม่อยากกลับมาเมืองไทยแล้ว เพราะอากาศร้อน รถก็ติด
ยอมรับเลยนะว่าถ้าไม่ได้ไปเยอรมัน ชีวิตผมทุกวันนี้ไม่ใช่แบบนี้แน่นอน ถ้าอยู่เมืองไทย ผมก็จะเป็นผู้ตามซะส่วนใหญ่ แต่ความเป็นผู้นำเกิดขึ้นจากที่ผมไปเรียนที่เยอรมัน เวลาทำงานเป็นกลุ่ม ทุกคนมีบทบาท ไม่มีมาแบบว่า ฝากเอาชื่อเราเข้ากลุ่มหน่อย ทุกคนต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเองให้ชัดเจน”
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาพบกับธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจ ระหว่างกลับมาพักผ่อนที่เมืองไทย นั่นก็คือ ธุรกิจ ดาต้า ดอต ดีเอ็นเอ เทคโนโลยีป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินมีค่าและรถยนต์ จากประเทศออสเตรเลีย ที่เพื่อนสนิทแนะนำให้รู้จัก หนุ่มบิวเริ่มหาข้อมูลและคิดว่าจะทำอย่างจริงจัง สุดท้ายเขาตัดสินใจกลับมาบ้านเกิด เพื่อเริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนในเมืองไทย
บัณฑิตอธิบายให้เราเข้าใจถึงเทคโนโลยีนี้ว่า เปรียบเสมือนการใส่ดีเอ็นเอให้รถยนต์หรือของมีค่า หน้าตาของมันเป็นจุดเล็กๆ ที่มองเห็นได้ยาก ทำจากใยสังเคราะห์ ภายในนั้นจะมีการสลักรหัสเอาไว้ และเอารหัสที่ว่าไปสเปรย์ลงบนชิ้นส่วนต่างๆ ของรถยนต์ ถ้าอยากรู้ว่ารถคันนั้น หรือของชิ้นนั้นเป็นของใคร ก็แค่เอาไฟแบ็กไลต์ไปส่องก็เจอ และนำมาตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของ
“คอนเซ็ปต์ก็เหมือนหมายเลขตัวถังเครื่องยนต์ หรือว่าหมายเลขทะเบียนรถยนต์ ที่จะบอกได้ว่าใครเป็นเจ้าของ แต่เดี๋ยวนี้สามารถถูกลบทิ้ง และทำลายได้หมด ไม่ว่าจะเป็นป้ายทะเบียนที่ถูกเอาออกไปและถูกสวมทับเข้ามา หรือลบหมายเลขตัวถังออก ตอกเข้าไปใหม่ โจรขโมยรถเดี๋ยวนี้พัฒนาไปมาก มีสารพัดวิธีในการแก้หมายเลขรถได้หมดเลย แต่สำหรับ ดาต้า ดอต ดีเอ็นเอ เราจะสเปรย์ลงไปได้หลายๆ จุดในรถหนึ่งคัน ทำให้โอกาสที่รถจะหาย หรือตามหาเจ้าของไม่เจอ ก็น้อยลงไปด้วย”
เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ แม้จะไร้คู่แข่ง แต่หลายคนมองว่าอาจจะเติบโตได้ยาก เพราะไม่ได้มาตามกระแส สำหรับบัณฑิต เขากลับมองว่ามันคือความท้าทายอย่างหนึ่ง
“ผมเริ่มทำการตลาดได้ประมาณ 1 ปีครับ ในช่วงแรกเราไม่ได้เน้นการขายเลย เน้นการให้ความรู้มากกว่า เพราะกว่าผมจะเล่าให้คนเข้าใจได้ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เพราะมันเป็นเทคโนโลยีใหม่ในบ้านเรา สิ่งสำคัญคืออย่างแรกคนต้องเข้าใจเทคโนโลยีก่อนว่ามีประโยชน์อย่างไรกับเจ้าของรถ หรือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจและบริษัทประกัน หลักๆ เลยเป็นการให้ความรู้เสียส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้ก็เริ่มเน้นการขายมากขึ้นครับ
ตอนนี้ผมกำลังผลักดันให้นำเทคโนโลยีนี้เข้าไปใช้ที่บริเวณ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะที่ออสเตรเลีย เขาทำทดสอบออกมาว่ารถคันนึง ถึงจะถูกระเบิดกระจุยกระจายเป็นชิ้นๆ ก็ยังสามารถตรวจสอบได้ว่ารถคันนั้นเป็นของใคร ผมว่ามันจะช่วยร่นระยะเวลาการทำงานของตำรวจ ถ้ามีคาร์บอมบ์เกิดขึ้น หรือมีรถต้องสงสัย เราเอาตรงนี้มาตรวจสอบได้ ไม่กี่นาทีก็รู้เลยว่าเป็นรถของใคร”
นอกจากธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีความปลอดภัยแล้ว หนุ่มคนนี้ยังสนใจทำธุรกิจเสื้อผ้า ซึ่งฉีกแนวออกมาจากงานเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้เขาอยากลุกมาทำเสื้อผ้าก็มาจากหุ่นของเขานี่แหละ
“ผมมีปัญหากับการเลือกเสื้อผ้ามากเพราะตัวผมใหญ่ ถ้าเป็นเสื้อผ้าที่คนไทยทำ ส่วนใหญ่จะค่อนข้างสั้น ใส่แล้วดูเต่อ ถ้าจะซื้อของแบรนด์เนมไปเลย ก็แพงอีก ผมเลยอยากทำของที่อยากได้ และราคาไม่แพงมาก ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเองครับ กำลังดูคอนเซ็ปต์อยู่ แต่ไม่ได้ลงดีเทลมากนัก ทาร์เกตกรุ๊ปที่ผมวางไว้คือนักศึกษามหา'ลัยจนถึงคนทำงาน เป็นเชิ้ตที่ใส่ไปทำงานได้ และไปเที่ยวได้ด้วย ช่วงนี้ก็จะเป็นช่วงวิจัยตลาดว่าเป็นอย่างไร คู่แข่งเป็นใคร เราจะโฟกัสในเซกชันไหนของเสื้อเชิ้ต ผมคงจะออกแบบเองและให้คุณแม่ช่วยดูเรื่องการผลิตครับ”
เรียกได้ว่าตอนนี้เรื่องงานมาเป็นอันดับหนึ่ง บัณฑิตเป็นคนจริงจังกับการทำงาน เพราะมีแรงบันดาลใจและเป้าหมายสำคัญคือ อยากให้คุณพ่อคุณแม่หยุดทำงาน โดยมีเขาเป็นฝ่ายได้ดูแลและเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างเต็มที่ และถึงแม้งานที่เขาทำอยู่ จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียนจบมา แต่การทำงานกับคนก็ทำให้เขาได้เข้าใจคน เข้าใจโลกมาก
เรียกได้ว่าตอนนี้เรื่องงานมาเป็นอันดับหนึ่ง บัณฑิตเป็นคนจริงจังกับการทำงาน เพราะมีแรงบันดาลใจและเป้าหมายสำคัญคือ อยากให้คุณพ่อคุณแม่หยุดทำงาน โดยมีเขาเป็นฝ่ายได้ดูแลและเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างเต็มที่ และถึงแม้งานที่เขาทำอยู่ จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียนจบมา แต่การทำงานกับคนก็ทำให้เขาได้เข้าใจคน เข้าใจโลกมาก
“การทำงานมันสนุกนะ ถึงจะยากก็ตาม จากที่ผมไม่เคยเป็นเซลส์แมนมาก่อน ผมก็พอจะจับทางถูกแล้วว่าเซลส์แมนเป็นอย่างไร และทำงานกับคนยากจริงๆ เพราะต่างคนก็ต่างมีสไตล์เป็นของตัวเอง ทุกคนต่างกันมาก ผมเลยพยายามจะปรับตัวเอง เพื่อที่จะเข้ากับความต่างของแต่ละคน
เมื่อก่อนผมคิดเสมอว่า ผมเป็นยังไงก็จะเป็นอย่างนั้น ไม่คิดจะปรับตัวเอง คิดว่าเราดีที่สุด เก่งที่สุด เซลฟ์มาก แต่หลังจากทำงานไปสักพัก เริ่มรู้แล้วว่าความเซลฟ์ของเรามันไม่ดี ไม่สามารถประสบความสำเร็จในอนาคตได้เลย ถ้าเรายังเป็นแบบนี้ ผมเลยลดอีโก้ตัวเองลงมา และเรียนรู้กับทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นสาขาอาชีพอะไรก็แล้วแต่ พยายามทำตัวเองให้เป็นแก้วเปล่าๆ และศึกษาจากทุกคน ให้ทุกคนเป็นอาจารย์ผม แล้วผมก็ฟังว่าเขามีแนวคิดชีวิตยังไง ทำงานยังไง แล้วก็เอามาปรับใช้ ”
แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเขาเป็นหนุ่มบ้างานนะ หนุ่มบิวบอกว่า “ลึกๆ แล้วผมเป็นคนขี้เกียจ แต่ผมมีแรงบันดาลใจว่าผมต้องทำงาน และผมแบ่งเวลาเป็น ซึ่งก็ได้มาจากตอนไปอยู่เยอรมัน คนที่นั่นเวลางานก็ทำงานอย่างเดียว แต่พอเลิกงานก็เป็นเวลาส่วนตัวจริงๆ ไม่เหมือนคนไทยที่ทำงานจนถึง 4-5 ทุ่ม สำหรับผมหลังเลิกงานแล้วจะชอบไปออกกำลังกายครับ เพราะทำแล้วสดชื่นมาก”
Great Escape
ถึงแม้หนุ่มบิวจะมีเวลาว่างไม่มากนัก เพราะกำลังมุ่งมั่นทำธุรกิจของตัวเอง แต่ถ้าให้พูดถึงวันพักร้อนในฝันแล้วละก็ ต้องเป็นทะเลเท่านั้น เพราะไม่มีอะไรจะเหมาะกับการพักผ่อนไปกว่าการได้สัมผัสสายลมและแสงแดดอีกแล้ว
“ผมชอบไปทะเลมาก ถ้าในเมืองไทย ผมอยากไปตามเกาะทางใต้ อย่างเกาะสิมิลัน หรือเกาะที่มีคนน้อยๆ เงียบๆ นอนฟังเสียงคลื่นซัดหาด แต่ถ้าเป็นทะเลต่างประเทศ ผมอยากไปบาหลี ไปมัลดีฟส์ อยากไปเรียนดำน้ำด้วย จะได้ไปดูโลกใต้ทะเล เป็นความฝันอย่างหนึ่งของผมเลยครับ” :: Text by FLASH
Special Thanks : โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ โทรศัพท์ 0-2207-7777
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/