xs
xsm
sm
md
lg

“สิทรา พรรณสมบูรณ์” ชีวิตที่ต้องขอบคุณโรคมะเร็ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“มะเร็ง” โรคร้ายอันดับต้น ๆ ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลก เชื่อแน่ว่าใครเมื่อเป็นโรคนี้แล้ว ล้วนแต่ทนทุกข์ทรมานพร้อมกับสาปส่งขอให้ได้อย่าเจอเจอกันอีกเลย
แต่สำหรับ...สิทรา พรรณสมบูรณ์...สาวไฮโซที่เคยผจญกับเนื้อร้ายนี้มาแล้ว กลับกล่าวด้วยใบหน้าที่แจ่มใสซ่อนแววตาที่สงบนิ่งว่า “ต้องขอบคุณโรคมะเร็ง” เพราะมะเร็งทำให้เธอได้ค้นพบความสงบแท้จริงของชีวิตในวันนี้
สิทรา พรรณสมบูรณ์ เป็นลูกสาวของ อบ วสุวัฒน์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจชื่อดัง ดังนั้นชีวิตของเธอจึงเรียกได้ว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด สาวไฮโซเนื้อแท้คนนี้มีชีวิตตามสูตรของลูกเศรษฐีในยุคเมื่อ 50 กว่าปีก่อนคือจบบัญชีจุฬาแล้วก็ไปเรียนต่อเอ็มบีเอที่สหรัฐอเมริกา จบแล้วก็กลับมาทำงานดูแลการเงินให้กับบริษัท วิทยาคม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของครอบครัว
สิททรา ยอมรับว่าตอนเป็นสาวนั้นเธอเปรี้ยวซ่าไม่แพ้สาวไฮโซยุคนี้ ชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมมีครบทุกอย่างทำให้เธอใช้ชีวิตสนุกสนาน ปาร์ตี้ กิน เที่ยว เป็นกิจวัตรประจำวันที่ขาดไม่ได้
“ เมื่อก่อนถ้าดิฉันจัดงานปาร์ตี้ที่บ้าน ก็จะต้องบินไปที่ฮ่องกงเพื่อซื้อเนื้อนอกที่ดีที่สุดมาทำอาหารเลี้ยงเพื่อน ๆ เรียกว่าต้องกินดี ๆ บางครั้งก็บินไปเที่ยวฮ่องกง สิงคโปร์เพื่อไปเสาะแสวงหาของกินดี ๆ ”
แล้ววันหนึ่งชีวิตอันรื่นรมย์ของสิทราก็ต้องมาจุดหักเห เมื่อตรวจพบเจอ “ก้อนเนื้อร้าย” ที่บริเวณเต้านม

“ คุณหมอคลำพบก้อนเนื้อที่บริเวณเต้านมก็เลยมาตรวจดู พบว่าเป็นเนื้อร้าย แถมเป็นเนื้อร้ายชนิดที่จะต้องเป็นที่เต้านมทั้ง 2 ข้าง ก็เลยแนะนำให้ดิฉันผ่าตัดเนื้อมะเร็งออก แล้วก็ตัดต่อมน้ำเหลือง เพื่อจะดูว่ามะเร็งกระจายไปที่ไหนบ้างแล้ว ปรากฏว่ายังไม่กระจาย คุณหมอเลยแนะนำให้ทำคีโมเพื่อว่าจะได้ฆ่าเนื้อร้ายให้สิ้นซาก จะได้ไม่ลามมาเป็นอีกข้างหนึ่ง “
เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ทำให้สิทราเกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมาถึงกับจิตตกและทอดอาลัยกับชีวิต เธอเลือกที่จะไม่ทำเคมีบำบัดตามที่คุณหมอแนะนำ
“ ดิฉันไปเจอหนังสือของคุณหมออเมริกาคนหนึ่งเขียนเล่าเรื่องว่าเป็นมะเร็งแล้วต้องเปลี่ยนไปใช้ชีวิตอย่างแมคโครไบโอติกส์แล้วจะหาย เราก็เลยลุกขึ้นมาทำบ้าง เพราะตอนนั้นคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว “
ในยุคเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คำว่า “แมคโครไบโอติกส์” สำหรับคนไทยแล้วแทบจะไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน สิทราจึงเดินทางไปอังกฤษเพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่นั่นพร้อมกับการศึกษาศาสตร์นี้ด้วยตัวเองจากเว็บไซต์และหนังสือต่าง ๆ พร้อมกับลุกขึ้นมาปฏิวัติวิถีชีวิตใหม่เพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็ง

เมื่อกลับมาเมืองไทย เธอตัดสินใจขายหุ้นของครอบครัวที่เธอถืออยู่ พร้อมกับหันหลังให้กับชีวิตเมืองกรุงมุ่งไปใช้ชีวิตอยู่ที่เขาใหญ่ท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนเขาอันกว้างใหญ่ เรียกได้ว่าสิทราเป็นคนกรุงรุ่นแรก ๆ ที่เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว
“แมคโครไบโอติกส์สอนให้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ คือเราต้องกินให้สอดคล้องกับสถานที่ที่เราอยู่ เรียกว่าให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ดิฉันคิดว่าคนเราป่วยไข้เพราะไปทำอะไรที่ฝืนธรรมชาตินั่นเอง ไปอยู่ที่เขาใหญ่ดิฉันปลูกผักเอง อยู่กับธรรมชาติ เหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ก็ปรากฏว่าอะไรที่เคยเป็น เช่น น้ำมูกไหล ภูมิแพ้ ท้องผูก อาหารไม่ย่อย นอนไม่หลับ โรคเหล่านี้กลับหายหมดเมื่อเปลี่ยนวิถีชีวิต”
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากใช้ชีวิตที่เขาใหญ่ผ่านพ้นไป 5 ปี สิทราก็ไปตรวจเพื่อหามะเร็งอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่พบเนื้อร้ายในร่างกายอีกเลย
“ ดิฉันเชื่อว่ามะเร็งอยู่ในตัวทุกคน สุดแต่ว่ามันจะโผล่มาหรือไม่ ถ้าภูมิต้านทานเราแข็งแรง จิตเราไม่ตก มันก็ต่างคนต่างอยู่ ”
เมื่อสมัยก่อนสิทราใช้ชีวิตแบบคนเมืองทั่วไปที่ตื่นเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน รับผิดชอบลูกน้องกว่า 300 คน ทุกอย่างดูรีบเร่งต้องวิ่งไปตามโปรแกรมของชีวิต แต่เมื่อมาอยู่ที่เขาใหญ่ชีวิตกลับตรงกันข้าม นาฬิกาชีวิตกลับเดินช้าลงอย่างที่ในชีวิตไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตื่นตีสี่มาออกกำลังกาย จากนั้นก็สวดมนตร์ทำวัตรเช้าแล้วก็เข้าครัวทำอาหารเช้ารับประทาน มีเวลานั่งสัมผัสกับไออุ่นของแสงแดดยามเช้า ก่อนนอนก็สวดมนตร์สัก 10 นาที

ชีวิตที่เริ่มต้นใหม่ได้สัมผัสกับเนื้อแท้ของคำว่า “ ความสงบสุข” ทำให้สิทรามีเวลาที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ที่ผ่านมาให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ ที่กำลังป่วยทั้งกายและใจ ออกมาเป็นหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับแมคโครไบโอติกส์จนกลายเป็น “เจ้าแม่แมคโครไบโอติกส์” ไปแล้ว และทุกครั้งที่มีคนอ่านหนังสือของเธอโทรศัพท์มาถามข้อมูล ยิ่งทำให้เธอมีความสุขที่ได้ทำประโยชน์ให้กับคนที่ทุกข์ใจ
“ ต้องขอบคุณมะเร็ง เพราะดิฉันคิดว่าสิ่งเลวร้ายที่เราเจอนั้นจะต้องมีของดีซ่อนอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้พบกันง่าย ๆ ขึ้นอยู่กับเราต้องค้นหาให้เจอต่างหาก อย่างที่ดิฉันได้ค้นพบว่ามะเร็งทำให้ดิฉันได้พบกับ ความสุขที่แท้จริงของชีวิต เพราะตอนนี้เพื่อน ๆ ดิฉันก็ยังสนุกสนานกับชีวิตแบบเดิม แต่สำหรับดิฉันกลับมองว่าน่าเบื่อ เหมือนอย่างเช่นคนเดี๋ยวนี้ชอบชวนใครต่อใครมาเล่นเฟซบุคกัน ดิฉันกลับคิดว่าคนเราทำไมถึงอยากรู้เรื่องคนอื่นกันนัก ทีเรื่องของตัวเองกลับไม่รู้ ”
สุดท้ายก่อนจบการสนทนา สิทราฝากข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับสุขภาพว่า “ คนเราทุกคนต้องฟังเสียงของร่างกายตัวเอง เพราะร่างกายของเราจะตะโกนบอกตลอดเวลาว่าตอนนี้คุณเป็นอะไรบ้าง ดิฉันเชื่อว่าไม่มีสูตรตายตัวในการรักษาสุขภาพ แต่คุณต้องดูแลเค้าเอง เรื่องอย่างนี้คุณหมอก็ดูไม่ออก เพราะไม่มีหมอเก่งที่ไหนที่จะมาดูร่างกายของเราเท่ากับตัวเราเอง ”

 
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น