xs
xsm
sm
md
lg

“KIKI” ต่อยอดลุยขายผลิตภัณฑ์ ทำซาลอนอย่างไรทะยาน 110 ล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 – “KIKI” เปิดแผนทำซาลอนอย่างไร มีแค่ 2 สาขา แต่ดันรายได้ทะยานสู่ 110ล้านบาท พร้อมขยายธุรกิจซาลอนหรูสู่ต่างประเทศ ขายแฟรนไชส์ไปลาว ปีหน้าปรับแผน ลุยบริการและผลิตภัณฑ์ สัดส่วนรายได้เท่ากัน


นายก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นับเงินไม่ทัน จำกัด ผู้ก่อตั้ง กีกี้ บิวตี้ สเปซ (KIKI Beauty Space) สาขาสยามสแควร์ ซอย3 และสาขาเมกา บางนา เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายธุรกิจแบรนด์ กีกี้ บิวตี้ สเปซ ซาลอน ไปยังประเทศลาว โดยมีนักลงทุนท้องถิ่นเป็นผู้รับสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ที่สามารถขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ต่อเนื่องได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดแฟรนไชส์ธุรกิจซาลอนในต่างแดนได้สำเร็จเป็นรายแรกของไทย

โดยสาขาแรกจะเปิดที่นครหลวงเวียงจันทน์ ทำเลสุดไพรม์บนถนนคูเวียง ย่านธุรกิจและถนนสายแฟชั่นใกล้ Parkson Laos ห้างหรูใจกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสปป.ลาว เตรียมเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2569 ด้วยมูลค่าแฟรนไชส์ประมาณ 20 ล้านบาท สาขาแรกนี้จะเป็นแบบแฟลกชิบสโตร์เหมือนที่ประเทศไทยสาขาสยามสแควร์ คือเป็นอาคารสูง4 ชั้น และที่พิเศษคือ มีการเปิดคาเฟ่ให้บริการเครื่องดื่มและอาหาร ตั้งอยู่ในภายในร้านด้วย

ทั้งนี้ รูปแบบการเปิดสาขาและการบริการในลาวนั้นสามารถเปิดสาขาได้เป็นสองแบบคือ แบบแรก บริการครบวงจร ( Full Service ) (แผนกทำผม ตัด ดัด ยืด ทำสีผม ทำทรีทเมนท์ / แผนกต่อผม / แผนก Face ให้บริการแวกซ์คิ้ว ต่อขนตา / แผนก Mani padi ทำเล็บ รวมถึงให้บริการสปามือเท้า ทาสีเจล ต่อเล็บหลายรูปแบบ และแผนกเมคอัพ) กับ แบบที่สอง คือ บริการทำผมอย่างเดียว หรือ Hair Salon อย่างเดียว โดยมีการนำผลิตภัณฑ์จากไทยของ KIKI Beauty ไปให้บริการในร้านด้วย เช่น แชมพู ทรีทเมนท์ หรือ Hair Oil รวมถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมหรือ Hair Care ของแบรนด์ดังต่างประเทศกว่า 10 แบรนด์ ก็จะมีวางจำหน่ายในร้านเหมือนที่ไทยด้วยเช่นกัน


นางสาว จินดาวร เพชรหลวงศรี ผู้บริหารบริษัท Miracle Lao Sol และผู้บริหาร กีกี้ บิวตี้ สเปซ สปป.ลาว กล่าวว่า จุดเริ่มต้นในการติดต่อซื้อแฟรนไชส์มาจากการเป็นลูกค้าที่กีกี้ บิวตี้ สเปซ มาก่อน ทุกครั้งที่มากรุงเทพฯ จะพักใกล้กับย่านสยาม จึงมักมาใช้บริการเป็นเวลา 2 ปีแล้ว เห็นถึงศักยภาพในการให้บริการบิวตี้ ซาลอนที่ครบวงจร จึงตัดสินใจติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์ ตั้งเป้าเปิดในย่านธุรกิจ เพราะเป็นโซนที่มีธนาคารเปิดให้บริการเยอะเป็นสิบแห่ง มีทั้งกลุ่มลูกค้า พนักงานบริษัท นักธุรกิจ กลุ่มลูกค้าต่างชาติอกลุ่ม Expat และคณะทำงานสถานทูตต่างๆในลาว อีกทั้งจะมีจุดขายเปิดคาเฟ่ชั้นล่างด้วย ให้บริการทั้งเครื่องดื่ม เค้กและอาหารคาว ซึ่งจะถือเป็นลักซ์ชัวรี บิวตี้ ซาลอนรายแรกในลาวที่มีบริการครบครันในรูปแบบนี้

ตลาดในลาว ถึงแม้จะมีร้านซาลอนพรีเมียมที่คนไทยไปใช้บริการ แต่ก็ไม่มีร้านที่ให้บริการความงามแบบ One Stop Service มักจะต้องไปทำแยกทีละร้าน ประกอบกับผู้ใหญ่ในบริษัท รวมถึงคนในครอบครัว ก็มองว่า การไปเสริมความงามที่ลาวไม่ค่อยมีเซฟโซน ผู้ใหญ่มักจะเลือกทำในห้องวีไอพี จึงสนใจติดต่อกีกี้ บิวตี้ สเปซไปเปิด เพราะอยากมีร้านซาลอนแบบนี้ที่ลาวบ้าง จะมีโมเดลทุกอย่างเหมือนที่ไทย มีห้องไพรเวทด้วย ซึ่งใช้เวลาอยู่นานเป็นปีกว่าจะติดต่อสำเร็จ ปกติยังไม่เคยทำธุรกิจด้านนี้มาก่อน จะทำธุรกิจเกี่ยวกับก่อสร้าง ทำเหมือง เปิดโรงเรียน มากกว่า ซึ่งมีแพลนว่าอาจจะนำกีกี้ บิวตี้ สเปซไปเปิดที่เวียดนามในปีหน้า จะเปิดสาขาที่โฮจิมินท์

ส่วนกลยุทธ์การตลาดที่ลาวนั้น นางสาวจินดาวร กล่าวว่า “จะมีการจัดงานแกรนด์ โอเพนนิ่งสองวัน มีแบ่งวันสำหรับการรองรับผู้ใหญ่ที่ลาวด้วย ซึ่งฐานลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ใช้เฟซบุ๊ก แต่ไม่นิยมลงโพสต์ จะเป็นการบอกต่อWord-of-Mount ในขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ จะนิยมอินสตาแกรมและ Tiktok มากกว่า ซึ่งเราจะใช้การโปรโมททางโซเชียลทุกช่องทาง แต่อาจจะเน้นไปที่เฟซบุ๊กมากที่สุด ตามความนิยมของคนลาวส่วนใหญ่ รวมถึงใช้ influencer marketing ด้วย เพราะที่ลาวค่อนข้างมีอินฟลูเอนเซอร์มากเหมือนกัน คนจะนิยมดูการรีวิวร้านต่างๆกันมาก”


นอกจากการขยายธุรกิจในต่างประเทศแล้ว ตลาดในไทยเองก็ยังคงเป็นตลาดหลัก ซึ่งนายก้องภพ กล่าวว่า ในเรื่่องของการขยายสาขาในไทยนั้น คงจะไม่ได้เป็นเรื่องหลักเท่าไรจากขณะนี้ที่มี 2 สาขา เพราะไม่ได้อยู่ในยุคที่สาขาเยอะยอดขายจะเยอะ เพราะการขยายสาขาในไทยมีความท้าทายหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของการลงทุนที่ใช้งบประมาณสงไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อสาขา และการหาช่างที่มีคุณภาพก็ยากด้วย การควบคุมคุณภาพจะลำบากเมื่อมีหลายสาขา รวมถึงการแข่งจันในตลาดซาลอนที่รุนแรง

แต่การเติบโนของธุรกิจ จะใช้แนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการต่อยอดจากแบรนด์จะมุ่งเน้นไปที่่การขยายธุรกิจและบริการมากกว่า โดยเฉพาะการมุ่งไปที่การสร้างผลิตภัณฑ์มาจำหน่าย ซึ่งเป้าหมายของก้องภพ ต้องการปรับสัดส่วนรายด้ในปีหน้าให้มาจาก การบริการในร้าน 50% และมาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ KIKI Beauty 50% เท่ากัน ทั้งๆที่ปีนรี้สัดส่วนจากผลิตภัณฑ์มีเพียง 20% เท่านั้นเอง จากพอร์ตธุรกิจ รวมทั้งจะมีการรีแบรนด์และปรับราคาของผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็น luxury Self-Care ให้มีความชัดเจนขึ้น ราคาเข้าถึงง่ายขึ้นและแบรนด์ดูสนุกขึ้น

โดยจะแบ่งประเภทของผลิตภัณฑ์ออกเป็น 4 แบรนด์ย่อย แต่ยังคงความเป็นพรีเมียมอยู่ ได้แก่ KIKI Hair Care เน้นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม / KIKI Care ประเภท Bath & Body / KIKI Perfume น้ำหอม และต่อยอดแบรนด์สู่ไลน์คอสเมติก ในชื่อ KIKI Cosmo ที่คาดว่าจะวางตลาดได้ประมาณไตรมาสที่สามปีหน้า ซึ่งผลิตภััณฑ์มาจากการร่วมมือพัฒนาและผลิตจากเกาหลี


“เราจะไม่ได้โฟกัสแค่ให้ลูกค้าเข้ามาหาที่ร้าน แต่กีกี้ บิวตี้จะออกไปหาลูกค้าเอง โดยสินค้าของเราที่วางขายอยู่ในช่องทาง Shopee Lazada และ Line Shopping สร้างยอดขายต่อเดือน เฉพาะแค่ Shopee เราขายแชมพูอย่างเดียวได้เดือนละเจ็ดหลัก โดยเราส่งฟรีทุกช่องทาง ไม่มียอดสั่งซื้อขั้นต่ำมาตลอด” นายก้องภพ กล่าว

นอกจากนั้น ในปีนี้ที่แบรนด์ กีกี้ บิวตี้ สเปซ ครบ 5 ปี เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางร้านมีการเปิดบริการแผนกใหม่เป็นแผนกที่ 5 คือ เมคอัพ เซอร์วิส เพื่อตอบโจทย์ความเป็น One Stop Service ให้มากขึ้น มาที่เดียวครบจบทั้งหน้าผม ให้บริการทั้งผู้ชายผู้หญิง โดยมีเมคอัพ อาร์ทติสประจำที่สาขาสยามสแควร์ ให้บริการตั้งแต่การแต่งหน้าไปออกงานจนถึงการแต่งหน้าเจ้าสาว

อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจลักซ์ชัวรี บิวตี้ ซาลอน นอกเหนือไปจากการใช้งบการตลาดผ่านช่องทางโซเชียลต่างๆ คือ การขับเคลื่อน CRM Ecosystem ของกีกี้ บิวตี้ สเปซ ด้วยระบบ Data Driven ตั้งแต่เปิดให้บริการ กระทั่ง เมื่อกลางปี 2567 ทางแบรนด์ได้ยกระดับเข้าสู่การใช้ระบบ Data Analytic เต็มรูปแบบ ด้วยการทุ่มงบกว่า 3 ล้านบาท นำระบบแพลตฟอร์ม CRM อันดับหนึ่งของโลมาใช้ในการดูแลลูกค้า ซึ่งปกติระบบนี้เป็นระบบที่นิยมใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ระดับโลก เพราะต้องการสร้างมาตรฐานและความประทับใจให้ลูกค้าทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว เพราะให้ความสำคัญกับการทำแบรนดิ้งและดาต้าอย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นซาลอนแห่งเดียวในประเทศไทยที่ทำระบบนี้ ซึ่งนับตั้งแต่ใช้ระบบ Data Analytic ทำให้ธุรกิจมีทิศทางที่ชัดเจนมากและมียอดรายได้การเติบโตที่ดีขึ้นแบบสวนกระแสเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอยู่ในขาลง มีเพียงสาขาเมกา บางนา ที่ได้รับผลกระทบ 20% จากนักท่องเที่ยวจีนลด


“ปัจจุบัน กีกี้ บิวตี้ สเปซ มีลูกค้าที่เป็นสมาชิกอยู่มากกว่า 50,000 ราย ไม่รวมกับฐานลูกค้าประจำ และฐานลูกค้าวอล์คอินเข้ามาในร้านอีกไม่ต่ำกว่า 60,000 คน เรา personalized ข้อมูลลูกค้าทุกอย่างที่เราต้องการ เราครีเอทแพลตฟอร์มสำหรับกีกี้ บิวตี้ สเปซขึ้นมาโดยเฉพาะ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เราขายแฟรนไชส์สูงถึง 20 ล้านบาทได้ เพราะระบบของเราแข็งแรง ระบบนี้จะนำไปใช้กับสาขาที่ลาวด้วย เราเชื่อว่า ถ้าเราจะเติบโตให้ดี เราต้องมี Back Office ที่แข็งแรงก่อน ซาลอนไม่ใช่ธุรกิจแบบ Fast Industry กว่าที่คนจะตัดสินใจมาใช้บริการ เราจึงให้ความสำคัญกับดาต้ามากๆ เพราะทุกคนที่เดินเข้ามา คือ โอกาสในการเปลี่ยนจากลูกค้าใหม่มาเป็นลูกค้าประจำ แม้เราจะเป็นบิวตี้ เซอร์วิส แต่การที่เราจะเพิ่มรายได้ สร้าง Revenue หรือสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สุดท้ายแล้ว ดาต้าไม่เคยหลอกใคร แต่เราวางดาต้าได้ถูกต้องแม่นยำไหม การเก็บข้อมูลตรงนี้ เราวางทุกอย่างละเอียดรอบคอบมากสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม รวม Data Insight ทุกอย่างไปจนถึงการเก็บดาต้ากลุ่มโพรดักส์ด้วย”

สำหรับปี 2568 นี้ คาดว่า KIKI จะสามารถทำรายได้ประมาณ 110 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว 20% ส่วนปี 2569 ตั้งเป้ารายได้เติบโตถึง 200% ทั้งนี้รายได้ย้อนหลังตั้งแต่เปิดบริการปีเมื่อปี 2563 มีรายได้รวม 4 ล้านกว่าบาท, ปี2564 มีรายได้ 14 ล้านบาท, ปี2565มีรายได้ 40 ล้านบาท, ปี2566มีรายได้ 74 ล้านบาท, ปี2567มีรายได้ 79ล้านบาท






















กำลังโหลดความคิดเห็น