“อีอีซี” เตรียมชงบอร์ด กพอ.เคาะ PPP ลงทุนระบบสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐาน “ไฟฟ้า ประปา ขยะ ถนน” เมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ "Capital City" ใน ธ.ค.นี้ คาดลงทุน 7 หมื่นล้านบาท ดันประมูลในปี 69 เริ่มก่อสร้างปี 70 ปักหมุด เริ่มนำร่องจัดสรรพื้นที่ลงทุนธุรกิจ “โรงพยาบาล-มหาวิทยาลัย” ก่อน
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เปิดเผยว่า จากที่ สกพอ.ได้ศึกษา และวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคส่วนกลาง ภายใต้โครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ (EEC Capital City: EECiti ) เพื่อเตรียมรองรับการพัฒนาทุกกิจกรรมในพื้นที่เมืองใหม่อัจฉริยะ ซึ่งตามแผนงานจะเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPP ) และให้บริการ ระบบสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐาน ระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี
โดยขณะนี้มีข้อมูลเบื้องต้นเตรียมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดกพอ.) ขออนุมัติรูปแบบการร่วมลงทุนตามระเบียบ PPP EEC Track ภายในเดือน ธ.ค. 68 นี้ เมื่อได้เข้าเป็น EEC Project List แล้ว หลังจากนั้นจะเป็นการศึกษารายละเอียดและรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) กำหนดรูปแบบการลงทุน PPP ที่เหมาะสม และจัดทำร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน (RFP) คาดจะประกาศเชิญชวนในปี 2569 และเริ่มก่อสร้างในปี 2570 ใช้เวลาก่อสร้าง 4-5 ปี
ในส่วนของการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย ระบบไฟฟ้า ระบบน้ำประปา ระบบสื่อสาร ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบรีไซเคิล น้ำ, ขยะ ถนนภายในพื้นที่ เป็นต้น ประเมินมูลค่าลงทุนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
“หลักการของการลงทุนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของ Capital City จะกำหนดเป็นสัญญาเดียวเพื่อให้การดูแลทั้งหมดอยู่ภายใต้ผู้ประกอบการรายเดียว และไม่ให้เกิดปัญหากรณีที่ต้องทำงานทับซ้อนในพื้นที่เดียวกัน โดยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านต้องจับมือกันเข้ามาประมูล” นายจุฬากล่าวว่า
ที่ผ่านมา ครม.ได้เห็นชอบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ EECiti ระยะที่ 1 พื้นที่ประมาณ 5,795 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 14,619 ไร่ โดยขณะนี้พื้นที่ระยะที่ 1 ได้มาครบถ้วนแล้ว ประมาณ 6,000 ไร่ ที่เหลือประมาณ 8,000 ไร่ จะใช้วิธีให้นักลงทุนที่ต้องการเข้ามาจ่ายค่าเช่าพื้นที่ล่วงหน้า และนำไปจ่ายเป็นค่าชดเชยที่ดิน ซึ่งรวดเร็วกว่าการตั้งงบประมาณแต่ละปีที่ต้องใช้เวลาอีกนาน
สำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะต้องลงทุนในพื้นที่นี้ ประกอบด้วย
1. โครงข่ายถนน เพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายถนนภายนอกโครงการ 4 ด้าน โครงข่ายถนนภายในพื้นที่โครงการ โครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะสำหรับเชื่อมพื้นที่โครงการกับ 4 เมืองหลัก และโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะภายในพื้นที่โครงการ
2. ระบบผลิตน้ำประปา มีความต้องการใช้น้ำประปาประมาณ 69,000 ลบ.ม./วัน
3. ระบบบำบัดน้ำเสีย มีปริมาณน้ำเสียประมาณ 55,000 ลบ.ม./วัน พร้อมจัดเตรียมระบบผลิตน้ำรีไซเคิล
4. ระบบการจัดการขยะ รองรับปริมาณขยะประมาณ 426 ตัน/วัน
5. ระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีความต้องการไฟฟ้าอย่างน้อย 439 MW
6. อุโมงค์สาธารณูปโภค ระยะทางประมาณ 100 กม.
เลขาฯ อีอีซีกล่าวว่า พื้นที่ Capital City จะทยอยเปิดบริการเป็นเฟสๆ โดยช่วงแรกจะเป็นในส่วนของโรงพยาบาล และสถาบันการศึกษา หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเป็นส่วนที่มีกิจกรรมตลอดเวลา และมีผู้คนจำนวนมาก ซึ่งอาจจะทำเป็นอาคารเรียนรู้รวม หรือศูนย์การศึกษา (แคมปัส) ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนสนใจ ทั้งจีน และยุโรป แคนนาดา สหรัฐอเมริกา ที่จะเข้ามาลงทุนตั้งมหาวิทยาลัย เช่น สหรัฐอเมริกา มีมหาวิทยาลัยหลายแห่ง รับนักศึกษาจากต่างชาติเป็นรายได้หลัก แต่นโยบายรัฐบาลปัจจุบันมีผลกระทบต่อต่างชาติ เป็นโอกาสที่อีอีซีไปโรดโชว์ให้ยกแคมปัสมาเปิดที่ไทย ภายใต้มาตรฐานการเรียนรู้ของประเทศนั้นๆ


