“วิทยากร” อธิบดีกรมการค้าภายใน ติดตามโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ที่โรงพยาบาลพระราม 9 ทดลองใช้บริการตรวจสุขภาพ แพทย์แจ้งรายละเอียดยา ราคายา สามารถนำใบสั่งยาไปซื้อยาที่ร้านขายยาข้างนอกโรงพยาบาลได้จริง เผยล่าสุดมีโรงพยาบาลเข้าร่วมแล้ว 345 แห่ง ร้านขายยากว่า 3,400 ร้าน คาดโครงการนี้ ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนทั้งประเทศปีละกว่า 32,000 ล้านบาท
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน (DIT) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลและร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ที่โรงพยาบาลพระราม 9 และร้านขายยา Top Care , Boots และ Watsons ที่ห้างเซ็นทรัล พระราม 9 ว่า กรมได้ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เดินทางมาติดตามโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้คิกออฟโครงการไปตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย.2568 โดยกำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา และเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อยาภายนอกโรงพยาบาลได้ ซึ่งตนได้ทดลองใช้บริการจริง ๆ และได้รับใบสั่งยาจากแพทย์ ซึ่งโรงพยาบาลแจ้งรายละเอียดยาทั้งหมด และหากประสงค์จะไม่รับยาของโรงพยาบาล ก็สามารถนำใบสั่งยาไปซื้อยาที่ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการได้
“ได้ไปตรวจโรคคนแก่ มีทั้งความดัน หัวใจ ไขมันในเลือดสูง นอนไม่หลับ ได้ยามา 5 ชนิด เป็นยาที่หาซื้อข้างนอกได้ 4 รายการ และเป็นยาเฉพาะ 1 รายการ มีราคาค่ายารวมทั้งหมด 10,370 บาท ได้แจ้งกับโรงพยาบาลว่าขอไปซื้อยาเอง คงเหลือยาที่ต้องซื้อกับโรงพยาบาล 1 รายการ เพราะเป็นยาเฉพาะ หาซื้อข้างนอกไม่ได้ เหลือต้องจ่ายค่ายาเพียง 1,670 บาท รวมค่าตรวจ ค่าบริการทางการแพทย์ และค่ายาควบคุมพิเศษ ส่วนที่เหลือจะนำใบสั่งยาไปซื้อที่ร้านขายยานอกโรงพยาบาล ในราคา 3,863 บาท ซึ่งราคาถูกกว่าของโรงพยาบาลที่ 8,700 บาท มีส่วนต่าง 4,837 บาท เพราะต้นทุนแตกต่างกัน ผมมาทดลองแล้ว ช่วยลดค่าครองชีพได้จริง”
ทั้งนี้ จากการสอบถามไปยังผู้บริหารโรงพยาบาล ได้ยืนยันว่า หากประชาชนที่มาใช้บริการต้องการจะซื้อยานอกโรงพยาบาล ก็ให้แจ้งความประสงค์ได้เลย เพราะแม้โรงพยาบาลจะมีรายได้ในส่วนค่ายาลดลง แต่ก็แลกกับการที่มีผู้มาใช้บริการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ คนมักจะคิดว่าโรงพยาบาลเอกชนค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่ารักษา ค่ายา แต่เมื่อมีโครงการนี้ ค่าใช้จ่ายในส่วนของค่ายาลดลง ทำให้ประชาชนหันมาใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนมากขึ้น และลดความแออัดในการเข้าโรงพยาบาลของรัฐ และจากการสอบถามประชาชน ต่างยืนยันว่า ลดภาระค่าครองชีพได้จริง เพราะไม่ต้องจ่ายค่ายาที่โรงพยาบาลสั่งจ่าย สามารถนำใบสั่งยาไปซื้อนอกโรงพยาบาลได้
ปัจจุบันมีเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมโครงการแล้ว 11 เครือ จำนวน 345 แห่ง ได้แก่ 1.BDMS 2.ธนบุรี 3.สินแพทย์ 4.เกษมราษฎร์ 5.RAM 6.บางประกอก-ปิยะเวท 7.พริ้นซิเพิล 8.นวมินทร์ 9.จุฬารัตน์ 10.มหาชัย และ 11.วิชัยเวช และยังมีโรงพยาบาลเดี่ยว ที่ไม่มีเครือเข้าร่วมอีก เช่น หัวเฉียว บี.แคร์ เจ้าพระยา พระรามเก้า และกรุงเทพคริสเตียน เป็นต้น
ส่วนร้านขายยามี 16 เครือข่าย 10 แอปพลิเคชัน จำนวน 3,461 แห่ง โดยร้านขายยาขนาดใหญ่ ได้แก่ 1.Pharmax 2.Icare 3.Super Drug 4.Fascino 5.Save Drug 6.Pure Pharmacy 7.eXta Plus 8.Tops Care 9.ร้านยากรุงเทพ 10.GPO 11.Boots 12.Watsons 13.ร้านยาโลตัส 14.Health Up 15.Lab Pharmacy และ 16.ยาหนึ่ง และผู้ให้บริการ Telepharmacy ได้แก่ 1.Telehealth 2.ยาพร้อม 3.PharmCare 4.AskMacy by Fascino 5.ร้านยากรุงเทพ 6.All PharmaSee 7.BIGYA 8.BeDee 9.Boots และ 10.Watsons
สำหรับโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” เป็นโครงการ Quick Big Win ที่ได้รับการผลักดันโดยนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการจัดทำโครงการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนในด้านการรักษาพยาบาล โดยโครงการนี้ นายกรัฐมนตรีได้คิกออฟไปแล้ว เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา และได้เริ่มดำเนินโครงการแล้ว คาดว่า จะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนทั้งประเทศได้ประมาณ 32,000 ล้านบาทต่อปี


