“รฟท.- กทท.“ลงนาม MOU เพิ่มขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ทางรางสู่ท่าเรือแหลมฉบัง ตั้งเป้าจาก 5 แสนทีอียู เป็น 2 ล้านทีอียูใน 10 ปี “มนพร”ดัน รางเชื่อมเรือ ลดต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มรายได้ กทท.ทุ่ม 900 ล้านบาทจัดหาเครื่องมือยกตู้สินค้า SRTO ด้าน “วีริศ”เร่งซื้อแคร่สินค้า 946 คัน กว่า 2.45 พันล้านบาท และดัน PPP เอกชนบริหาร ICD ลาดกระบัง
วันนี้ (31 กรกฎาคม 2568) นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ว่า นโยบายของกระทรวงคมนาคม ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งทางรางและทางน้ำของประเทศ ที่มีต้นทุนด้านโลติสติกส์ต่ำ และได้เปรียบในแง่ต้นทุนพลังงานที่ต่ำ ความปลอดภัยสูง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าระบบขนส่งรูปแบบอื่น ซึ่งความร่วมมือระหว่างกทท.และรฟท.ในคร้ั้งนี้ เพื่อให้ทั้งสองหน่วยงานร่วมมือกัน วางแนวทางนำไปสู่การปฎิบัติ ที่จะทำให้เพิ่มปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟไปยังท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ที่เป็นจริง และสร้างความมั่นใจกับนักลงทุน สายการเดินเรือ ผู้ประกอบการขนส่ง
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) กล่าวว่า การขนส่งสินค้าตู้สินค้าทางราง สู่ท่าเรือแหลมฉบังประมาณ 520,000 ทีอียูต่อปี โดยผ่านสถานีบรรจุและแยกสินค้าลาดกระบัง (ICD ลาดกระบัง) และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการยกขนตู้สินค้าทางรถไฟ ภายใต้โครงการ ศูนย์ขนส่งสินค้าทางตู้ (SRTO) อยู่ที่ประมาณ 460,000 ทีอียู และจากรถไฟทางไกล ผ่าน CY ต่าง ประมาณ 60,000-70,000 ทีอียู ซึ่งปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การลงนาม MOU ร่วมกันครั้งนี้ ตั้งเป้าขยายปริมาณการขนส่งตู้สินค้าจากปัจจุบัน ไปที 2 ล้านทีอียูต่อปี ภายในระยะเวลา 10 ปี จะต้องมีการพัฒนาทั้งโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร เครื่องมือ เครื่องจักร และนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยในระยะสั้น กทท.อยู่ระหว่างจัดหาเครื่องจักรและเครื่องมือและอุปกรณ์ยกขนตู้คอนเทนเนอร์ SRTO ชุดที่ 2 คาดลงทุนประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถจาก 500,000-800,000 ทีอียู ภายใน 3 ปี และปรับปรุงประสิทธิภาพ จัดตารางการเดินรถไฟ และเพิ่มแคร่สินค้า ลดระยะเวลาการให้บริการ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1 ล้านทีอียู ใน 5 ปี นอกจากนี้ ในส่วนของท่าเรือแหมฉบัง ระยะที่ 3 มีส่วนของการบริการตู้คอนเทนเนอร์ หรือ SRTO ด้วย คาดว่าจะรองรับปริมาณได้อีกไม่น้อยกว่า 1 ล้านทีอียู
“ปัจจุบันรถไฟจาก ICD ลาดกระบัง - ท่าเรือแหลมบัง มีการเพิ่มความยาวแคร่สินค้า จาก 32 แคร่เป็น 35 แคร่ และเพิ่มการเดินรถจาก 24 ขบวน/วัน เป็น 30 ขบวน/วัน ทำให้ปริมาณตู้สินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดภาระการขนส่งทางถนน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรางในระดับภูมิภาค ยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า ลดความหนาแน่นบนเส้นทางคมนาคม ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ในทุกมิติ”
ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ปัจจุบัน ICD ลาดกระบัง มีปริมาณตู้สินค้าประมาณ 1.3 ล้านทีอียู โดยใช้รถไฟขนส่งไปยังท่าเรือแหลมฉบัง ประมาณ 40% หรือ 6.5 แสนทีอียู ที่เหลือขนส่งทางรถยนต์ ซึ่งขณะนี้ รฟท.เตรียมร่วมลงทุนเอกชน (PPP) ผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ที่ลาดกระบัง ซึ่งได้มีการทบทวนและเสนอกระทรวงคมนาคมและคณะกรรมการ PPP และ เสนอเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ซึ่งตามเงื่อนไขเอกชนเข้ามาบริหารจัดการจะเพิ่มปริมาณการขนส่งทางราง ไม่น้อยกว่า 50%
ในขณะที่ รฟท.อยู่ระหว่างการเสนอครม.เพื่อจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้า 946 คัน วงเงิน 2.45 พันล้านบาท รวมถึงมีแผนจัดหา รถจักร เพิ่ม ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง
“การเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนไปสู่ระบบรางและทางน้ำมีต้นทุนต่ำกว่า และสามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือครั้งนี้จะใช้โครงข่ายระบบรางเป็นกลไกหลัก โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางทะเลของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมการใช้บริการขนส่งทางรางผ่านท่าเรือระนอง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคอันดามันด้วย” นายวีริศ กล่าว
นอกจากนี้ ความร่วมมือยังครอบคลุมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมขนส่ง ตลอดจนการดำเนินงานภายใต้หลักความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ และสร้างความเชื่อมั่นในระบบขนส่งทางรางให้เป็นทางเลือกหลักของประเทศในอนาคต ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 10 ปี พร้อมกำหนดเป้าหมายรายปีอย่างชัดเจน มีระบบติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลสัมฤทธิ์สูงสุด ทั้งในระดับองค์กร ผู้ประกอบการ และประชาชนในภาพรวม