xs
xsm
sm
md
lg

“มนพร” ระดมความเห็นเพิ่มศักยภาพอุตฯ พาณิชยนาวีไทย รับมือแข่งขันการค้า จี้แก้รถติดแหลมฉบัง จ่อประมูล "จุดพักรถบรรทุก" พื้นที่รวม 120 ไร่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“มนพร” เสริมแกร่งอุตฯ พาณิชยนาวีไทยรับฟังข้อเสนอแนะ เตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน เร่งแก้รถติดแหลมฉบัง จ่อประมูล "จุดพักรถบรรทุก" 2 จุด พื้นที่รวม 120 ไร่ หาผู้เช่าบริหาร 3 ปี ใช้ Truck Q เต็มระบบ

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเปิดสัมมนา “ความท้าทายของอุตสาหกรรมพาณิชยนาวี ภายใต้บริบทเศรษฐกิจและการค้าโลกยุคปัจจุบัน” ว่า กระทรวงคมนาคมตระหนักถึงสถานการณ์การค้าและเศรษฐกิจโลกที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการค้า นโยบายภาษีของสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศทั้งในแง่การเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การลงทุน และการค้าต่างประเทศ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมพาณิชยนาวี

การสัมมนาในครั้งนี้เป็นการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ความคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะและแนวทางการรับมือกับความท้าทายดังกล่าวทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนา ที่เป็นประโยชน์และสามารถนำข้อมูลที่ได้รับจากการสัมมนาไปวางแผนปรับใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับ สนับสนุนและส่งเสริมให้กิจการพาณิชยนาวีไทยมีศักยภาพในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในเวทีการค้าโลกต่อไป

“ข้อมูล ความเห็นที่ได้จากวันนี้ ทางกรมเจ้าท่าจะรวบรวมนำไปวิเคราะห์ว่าทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีข้อเสนอแนะ ข้อกังวลอะไรบ้าง และดูในเรื่องของกฎหมายที่มีอยู่แล้ว จะต้องมีการปรับปรุงหรือเพิ่มอย่างไรบ้าง ส่วนเรื่องกำแพงภาษีการค้าต่างๆ กับสหรัฐฯ ต้องรอความชัดเจน ขณะนี้ตัวแทนของไทยอยู่ระหว่างประสานเพื่อเข้าเจรจา”

นางมนพรกล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการขนส่งและโลจิสติกส์ได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ช่วงโควิด โดยมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่จะส่งออก ปัจจุบันต้องเผชิญสถานการณ์การค้า มีความกังวลเรื่องกำแพงภาษี ปัจจุบันผู้ประกอบการจึงพยายามเร่งส่งออก ทำให้ปริมาณตู้สินค้าเพิ่มขึ้นจากปกติ ซึ่งกรมเจ้าท่า (จท.) ได้จัดการจราจรทางน้ำ รองรับปริมาณการส่งออกที่มากขึ้น


@ เร่งมาตรการแก้รถติดท่าเรือแหลมฉบัง

ส่วนปัญหารถติดภายในท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) นางมนพรกล่าวว่า ทางการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รายงานว่า ได้ตั้งคณะทำงานจัดระเบียบจราจรภายใน ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งล่าสุด ผอ.ท่าเรือแหลมฉบังได้ออกประกาศขอความร่วมมือผู้นำเข้า-ส่งออกในการนำตู้สินค้าขาเข้า และตู้สินค้าขาออก ออกนอกเขตท่าเรือแหลมฉบัง ตามกำหนดเวลา เป็นการกำหนดช่วงเวลา เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ภายในเขตท่าเรือ กำหนดให้รถบรรทุกเข้ามารับสินค้าตรงกับสายเดินเรือเทียบท่า เพื่อไม่ให้รถบรรทุกเข้ามาแออัดและเกิดปัญหาจราจร

@เตรียมประมูล "จุดพักรถบรรทุก" 2 จุด พื้นที่รวม 120 ไร่ สัญญาเช่า 3 ปี

ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหา ให้มีการบริหารจัดการแก้ปัญหาระยะสั้น ทั้งประกาศใช้ Open Gate คือการกำหนดระยะเวลาการจัดเก็บตู้สินค้า เพื่อให้เรือเข้าตามกำหนดเวลาแล้ว จะนำพื้นที่ว่าง 2 แห่งของท่าเรือแหลมฉบัง มาจัดเป็นจุดพักรถบรรทุก (Truck Parking) คือพื้นที่ใกล้บริเวณโครงการพัฒนาศูนย์กลางการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (SRTO) เนื้อที่ประมาณ 22 ไร่ และพื้นที่ว่างอีกประมาณ 98ไร่ เป็นจุดพักรถบรรทุก (Truck Parking) ซึ่งผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองฯ กทท.แล้ว คาดว่าจะเสนอที่ประชุม บอร์ด กทท.ในการประชุมครั้งต่อไป และนำออกประมูลหาผู้ช่าดำเนินการระยะเวลา 3 ปี ทั้ง 2 พื้นที่

พร้อมกันนี้จะผลักดันให้ผู้ประกอบการท่าเรือ A  D, B1, B2 บริหารจัดการตู้คอนเทนเนอร์ เพิ่มพื้นที่หลังท่า ในการรองรับรถบรรทุกที่เข้ามารับสินค้าในท่าเรือของตัวเองด้วย

ส่วนระยะกลาง เร่งรัดระบบ Truck Q ให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ 100% มีข้อมูลแบบเรียลไทม์​ สามารถบริหารจัดการรถบรรทุกเข้ามาเพื่อรับตู้สินค้ามีความแม่นยำมากขึ้น ลดระยะเวลาปฏิบัติงาน ลดความแออัดของปริมาณรถบรรทุกในพื้นที่ท่าเรือ ซึ่งในปีนี้จะชัดเจน และระยะยาวกำลังศึกษาระบบประตูอัตโนมัติ (e-gate) ในช่องทางรถบรรทุกสินค้าและตู้สินค้า เริ่มดำเนินการในปี 2569


นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า อุตสาหกรรมพาณิชยนาวีประสบปัญหาความท้าทายในการประกอบการมาโดยตลอด ตั้งแต่สถานการณ์ COVID-19 และความไม่แน่นอนของสภาวการณ์การค้าโลกในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผู้ประกอบกิจการสายการเดินเรือ ท่าเรือ และกิจการเกี่ยวเนื่อง ผู้ส่งออกและนำเข้าของไทย รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ การวิเคราะห์สถานการณ์ และแนวโน้มของอุตสาหกรรมพาณิชยนาวีระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมพาณิชยนาวีมีการเตรียมความพร้อมและรับมือ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแข่งขันได้ในสภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกยุคปัจจุบัน


กำลังโหลดความคิดเห็น