xs
xsm
sm
md
lg

“อารดา” กางแผนลุยงานครึ่งหลังปี 68 ดันส่งออก “ข้าว-มัน” เข้าเป้า 7.5 ล้านตัน สกัดสวมสิทธิ์ส่งออกสหรัฐฯ-ปกป้องผู้ประกอบการไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปัจจุบันสถานการณ์การค้ามีความพลิกผัน ทั้งจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การขยายตัวของสงคราม ล้วนมีผลกระทบต่อทุกประเทศมากน้อยแตกต่างกัน และในส่วนของไทยก็มีปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินหน้าภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจและความผันผวนทางการค้าระหว่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง

โดยการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) ที่ผ่านมา นางอารดาได้ขับเคลื่อนภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ทั้งการขับเคลื่อนการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย การสร้างความเป็นธรรมทางการค้า และการปกป้องผู้ประกอบการไทย


มั่นใจส่งออกข้าวปีนี้ 7.5 ล้านตัน

สำหรับการขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ อย่างสินค้าข้าว ได้มีการผลักดันการส่งออกอย่างเต็มที่ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง โดยมียอดการส่งออกในช่วง 5 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ค.) ทำได้ปริมาณ 3.05 ล้านตัน ลดลง 25.61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณส่งออกอยู่ที่ 4.10 ล้านตัน และมีมูลค่า 63,098 ล้านบาท (ประมาณ 1,878 ล้านเหรียญสหรัฐ) ลดลง 34.03% จากปีก่อนที่มีมูลค่า 95,645 ล้านบาท (ประมาณ 2,688 ล้านเหรียญสหรัฐ)

นางอารดากล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้การส่งออกข้าวไทยลดลง มาจากปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูก โดยปี 2568 คาดว่าผลผลิตข้าวโลกจะมีประมาณ 541 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 17 ล้านตัน อินเดียกลับมาส่งออกข้าวได้ตามปกติและมีปริมาณผลผลิตข้าวภายในประเทศปริมาณกว่า 150 ล้านตัน ทำให้แซงจีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก และอินเดียมีสต็อกข้าวปริมาณกว่า 60 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 18% จึงมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคาเมื่อเทียบกับประเทศผู้ส่งออกอื่น และประเทศผู้นำเข้าสำคัญ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย มีความต้องการนำเข้าข้าวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม แม้การส่งออกข้าวจะลดลง แต่พบว่าตลาดส่งออกสินค้าข้าวที่สำคัญ ได้แก่ อิรัก เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยไทยส่งออกข้าวไปอิรักมากเป็นอันดับหนึ่งที่ปริมาณ 0.41 ล้านตัน คิดเป็น 13.44% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด เพิ่มขึ้น 13.89% รองลงมา คือ สหรัฐฯ 0.37 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 8.82% แอฟริกาใต้ 0.28 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 21.74% จีน 0.25 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 78.57% และฟิลิปปินส์ 0.13 ล้านตัน ลดลง 55.17%

“ช่วง 5 เดือนของปี 2568 แม้ไทยจะส่งออกข้าวลดลงประมาณ 25.61% แต่ยังสามารถส่งออกข้าวไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง อเมริกา และยุโรปได้เพิ่มขึ้น โดยไทยส่งออกข้าวไปภูมิภาคแอฟริกามากที่สุดที่ปริมาณ 0.97 ล้านตัน คิดเป็น 31.80% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด ลดลง 11.01% รองลงมา ได้แก่ ภูมิภาคเอเชีย 0.79 ล้านตัน ลดลง 56.83% ภูมิภาคตะวันออกกลาง 0.56 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12.00% ภูมิภาคอเมริกา 0.48 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6.67% ภูมิภาคยุโรป 0.16 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 33.33% และภูมิภาคโอเชียเนีย 0.09 ล้านตัน ลดลง 18.88%”

นางอารดากล่าวว่า แม้ช่วง 5 เดือนการส่งออกข้าวจะทำได้เพียง 3.05 ล้านตัน แต่ยังมั่นใจว่าการส่งออกข้าวทั้งปีจะทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน เพราะมีแผนผลักดันการส่งออกข้าวไทยในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการจัดคณะผู้แทนการค้าข้าวไทยไปขายข้าวยังประเทศต่าง ๆ หรือการประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในตลาดเป้าหมาย สามารถทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวไทยเพิ่มขึ้นได้จริง เหมือนอย่างตลาดแอฟริกาใต้ ที่กรมเคยจัดคณะผู้แทนการค้าไปเยือนและไปเจรจาขายข้าว ยอดการส่งออกก็เพิ่มขึ้นจริง

สำหรับแผนงานส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทย ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2568 (ก.ค.-ธ.ค.) ที่จะดำเนินการ อาทิ การจัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจาขยายตลาดและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ วันที่ 3-6 ส.ค. 2568 และประเทศญี่ปุ่น วันที่ 7-10 ก.ย. 2568 ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ ได้แก่ งาน Summer Fancy Food Show 2025 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ วันที่ 29 มิ.ย.-1 ก.ค. 2568 งาน Fine Food Australia 2025 ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย วันที่ 8-11 ก.ย. 2568) งาน China-ASEAN EXPO (CAEXPO) 2025 ครั้งที่ 22 ณ เมืองหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ 17-21 ก.ย. 2568 และงาน ANUGA 2025 ณ เมืองโคโลญ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี วันที่ 4-8 ต.ค. 2568) การจัดงานประชุมข้าวนานาชาติ Thailand Rice Convention (TRC) สัญจร 2025 และการประชาสัมพันธ์ข้าวไทยผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจัดกิจกรรมรณรงค์การบริโภคข้าวอินทรีย์ไทย “Healthy life by Thai Organic Rice” ร่วมกับร้านอาหาร หรือ Key Influencers ที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ และเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย


ตั้งเป้าส่งออกมันสำปะหลัง 7.5 ล้านตัน

นางอารดากล่าวว่า การส่งออกสินค้ามันสำปะหลัง ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรสำคัญอีกตัวหนึ่งที่กรมรับผิดชอบ ในช่วง 5 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ค.) ส่งออกได้ปริมาณ 4.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 37.16% จากปีก่อนที่มีปริมาณส่งออกที่ 2.96 ล้านตัน และมีมูลค่าประมาณ 45,358.32 ล้านบาท (1,351.09 ล้านเหรียญสหรัฐ) ลดลง 7.11% จากปีก่อน ที่มีมูลค่าประมาณ 51,848.40 ล้านบาท (1,454.57 ล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งพูดได้ว่ามันสำปะหลังเป็นอาวุธลับของสินค้าเกษตรไทยเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นตัวสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดส่งออกสินค้าเกษตรของไทยตัวหนึ่ง ส่วนมูลค่าที่ลดลง แม้ว่าจะส่งออกได้มาก เพราะปีนี้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ราคามันสำปะหลังตลาดโลกลดลงมาแล้วกว่า 30% หากไม่ได้ปริมาณมาช่วย มูลค่าก็อาจจะทำได้น้อยกว่านี้

สำหรับตลาดส่งออกสำคัญของมันสำปะหลังไทย ยังคงเป็นจีน มีสัดส่วน 51.38% ของมูลค่าการส่งออกรวม รองลงมา คือ ญี่ปุ่น สัดส่วน 9.41% อินโดนีเซีย สัดส่วน 7.41% มาเลเซีย สัดส่วน 4.12% สหรัฐฯ สัดส่วน 4.00% และอื่น ๆ สัดส่วน 23.68% ซึ่งมีตลาดสำคัญที่เป็นลูกค้าใหม่ของมันสำปะหลัง คือ ซาอุดิอาระเบีย ที่ไทยสามารถผลักดันให้มีการนำเข้ามันสำปะหลังไปทำอาหารสัตว์ได้สำเร็จ

ส่วนแผนงานส่งเสริมการตลาดเพื่อขยายตลาดมันสำปะหลัง ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2568 (ก.ค.-ธ.ค.) เพื่อให้การส่งออกทั้งปีเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน ได้แก่ การจัดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ปี 2568 (World Tapioca Conference 2025) ณ กรุงเทพมหานคร วันที่ 29-31 ก.ค. 2568 การจัดคณะผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ และสื่อมวลชน เดินทางไปเจรจาขยายตลาดและผลักดันการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและแป้งมันสำปะหลัง ณ ตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ เช่น ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ช่วงเดือน ส.ค. 2568 และมีแผนจัดซื้อข้อมูลมันสำปะหลังและสินค้าที่เกี่ยวข้องจากผู้ให้บริการข้อมูลของจีนประจำปี 2568 ผ่านการเป็นสมาชิกผู้ให้บริการออนไลน์ทางเว็บไซต์ ทำให้รับทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสินค้ามันสำปะหลังและสินค้าที่เกี่ยวข้อง คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และแอลกอฮอล์ ตลอดจนรับทราบนโยบายและมาตรการต่างๆ ของตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอันดับ 1 ของไทยรวมทั้งประเทศคู่แข่งสำคัญ


เดินหน้าปกป้องผู้ประกอบการไทย

นางอารดากล่าวว่า ทางด้านภารกิจในการปกป้องและสร้างความเป็นธรรมทางการค้าให้แก่ผู้ผลิตในประเทศที่ได้รับผลกระทบและความเสียหายจากการทุ่มตลาด การอุดหนุน และการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น ได้มีการนำมาตรการเยียวยาทางการค้ามาใช้อย่างเข้มข้น โดยมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) มีการบังคับใช้มาตรการ AD กับ 22 ประเทศ 22 กรณี โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าเหล็ก และไทยถูกใช้มาตรการ AD จาก 18 ประเทศ 73 กรณี อาทิ สินค้าเหล็ก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง

มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duties : CVD) ยังไม่มีการใช้มาตรการ CVD กับสินค้าจากประเทศใด แต่ถูกใช้มาตรการ CVD จาก 3 ประเทศ 7 กรณี ได้แก่ อินเดีย 4 กรณี (ลวดทองแดง, ไม้อัด, ท่อทองแดง, กรดไขมันอิ่มตัว) สหรัฐฯ (เหล็กแผ่นรีดร้อน, เซลล์แสงอาทิตย์) และเวียดนาม (น้ำตาล)

มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measures : SG) ไม่มีการใช้มาตรการ SG กับสินค้าใด แต่ถูกใช้มาตรการ SG จาก 9 ประเทศ 19 กรณี อาทิ สินค้าเหล็ก เคมีภัณฑ์ และอื่นๆ

มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-Circumvention : AC) มีการบังคับใช้มาตรการ 1 กรณี คือ สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอยจากผู้ผลิตจีน 17 ราย และไทยถูกใช้มาตรการ AC จาก 3 ประเทศ 6 กรณี

นอกจากนี้ ยังได้ทำหน้าที่จัดทำข้อคิดเห็น ข้อโต้แย้ง และให้คำปรึกษากับผู้ส่งออกไทยในการตอบแบบสอบถาม และเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ต่างกรณีที่ไทยถูกใช้มาตรการ AD, CVD, SG และ AC จากประเทศคู่ค้า โดยทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลส่งให้หน่วยงานต่างประเทศประกอบการไต่สวน

สำหรับแผนการดำเนินงานการใช้มาตรการเยียวยาทางการค้า ในช่วง 6 เดือนหลัง ปี 2568 (ก.ค.-ธ.ค.) มีงานไต่สวน อยู่ระหว่างการพิจารณาคำขอ AD 2 กรณี AC 3 กรณี และ Safeguard 1 กรณี การให้คำปรึกษาผู้ประกอบการเพื่อยื่นคำขอใช้มาตรการ AD 9 กรณี SG 3 กรณี และ AC 2 กรณี และมีแผนการจัดอบรม สัมมนา เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการ

ขณะเดียวกัน มีแผนดำเนินโครงการพัฒนาการเชื่อมโยงระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าแบบไร้กระดาษ (ROVERs PLUS) กับแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางภาครัฐ เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงการให้บริการระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าแบบไร้กระดาษ (ROVERs PLUS) ของกรมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง และตรวจสอบการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย (Circumvention) โดยการสุ่มตรวจสอบกระบวนการผลิตสินค้าของผู้ส่งออกที่ได้ขึ้นทะเบียนรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ภายใต้กรอบความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Wide Self-Certification : AWSC) การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองในการส่งออกไปสมาพันธรัฐสวิสและราชอาณาจักรนอร์เวย์ (REX) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) และเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของไทย โดยมีกำหนดตรวจสอบในเดือน ส.ค.-ก.ย. 2568


ป้องกันสวมสิทธิ์ส่งออกไปสหรัฐฯ

นางอารดากล่าวว่า กรมยังได้จัดทำแนวทางเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไปของไทย สำหรับรายการสินค้าเฝ้าระวังในการส่งออกไปสหรัฐฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สหรัฐฯ ว่าสินค้าที่ส่งออกมีถิ่นกำเนิดไทยจริง โดยที่ผ่านมาได้จัดประชุมร่วมกับ 2 หน่วยงานที่มีอำนาจในการออก Form C/O ได้แก่ หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยให้กรมเป็นหน่วยงานเดียวในการออก Form C/O สำหรับการส่งออกสินค้าเฝ้าระวังไปสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ยังได้ปรับปรุงรายการสินค้าเฝ้าระวัง โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการทบทวนและปรับปรุงบัญชีรายการสินค้าเฝ้าระวังจำนวน 49 รายการ จะเพิ่มรายการสินค้าเฝ้าระวังอีก 16 รายการ รวมแล้ว 65 รายการ ซึ่งหากดำเนินการปรับปรุงรายการสินค้าเฝ้าระวังแล้วเสร็จ จะออกประกาศอย่างเป็นทางการเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป คาดว่าภายในเดือน ก.ค. 2568 นี้

ขณะเดียวกัน จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ โดยกรมอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าให้มีความเข้มงวดก่อนการออก Form C/O โดยมาตรการดังกล่าวครอบคลุมถึงการตรวจสอบสถานประกอบการอย่างละเอียดถี่ถ้วน และการพิจารณาเอกสารการส่งออกอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะสินค้าเฝ้าระวังที่จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวจะเป็นความร่วมมือระหว่างกรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด โดยจะเริ่มตรวจสอบสถานประกอบการในเดือน มิ.ย.-ก.ค. 2568

นอกจากนี้ จะประสานความร่วมมือกับกรมศุลกากรไทย เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย โดยกรมอยู่ระหว่างประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกรมศุลกากร ซึ่งความร่วมมือดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายศุลกากร และเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าส่งออกของไทยอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะดำเนินความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการปฏิบัติตามขั้นตอนการออก Form C/O รูปแบบใหม่ โดยจะดำเนินการผ่านการจัดประชุมหารือ การสัมมนา และการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ


พร้อมรับมือสงครามการค้า

สำหรับการรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้า จากการที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีอัตราต่างตอบแทน ซึ่งรวมถึงการขึ้นภาษีกับสินค้าจากประเทศที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่งผลให้ประเทศต่างๆ อาจประสบปัญหาในการส่งออกมากขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากการขึ้นภาษี ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง อาจนำไปสู่ปัญหาสินค้าทะลัก เนื่องจากผู้ส่งออกอาจหันไปส่งออกสินค้าผ่านประเทศที่สามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้น หรือสินค้าที่เคยส่งออกไปยังประเทศที่ถูกขึ้นภาษีอาจถูกระบายมายังประเทศอื่นแทน

นางอารดากล่าวว่า จากปัญหาข้างต้น กรมมีแนวทางการรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยกรณีที่ผู้ผลิตในประเทศได้รับความเสียหายจากสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากสถานการณ์เบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) กรมจะดำเนินการไต่สวนมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการทะลักของสินค้านำเข้า โดยการเรียกเก็บอากรเพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. 2550

“ได้ประชุมร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อร่วมกันเฝ้าระวัง และกำหนดกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงที่อาจทะลักเข้ามาไทยมากขึ้น จากผลการใช้มาตรการทางการค้าของประเทศต่างๆ และติดตามสถานการณ์การนำเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยจะนำข้อมูลนำเข้ารายสินค้ามาประเมินสถานการณ์ตามหลักเกณฑ์การเปิดไต่สวนมาตรการ Safeguard ต่อไปแล้ว”

นอกจากนี้ มีแผนที่จะเร่งกระชับกระบวนการไต่สวนมาตรการ Safeguard ให้สั้นกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยกฎหมายกำหนดให้ไต่สวนเสร็จสิ้นภายใน 270 วัน และในระหว่างกระบวนการไต่สวน สามารถใช้มาตรการชั่วคราวได้ โดยสามารถใช้บังคับหลังจากเปิดไต่สวนได้ เมื่อมีหลักฐานชัดแจ้งว่าการนำเข้าทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงเพื่อป้องกันความเสียหายเร่งด่วน และใช้บังคับไม่เกิน 200 วัน รวมทั้งจะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการไต่สวนให้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการเริ่มทดลองใช้ระบบ Electronic-Trade Remedy Platform (e-TR) ในการยื่นคำขอ กระบวนการไต่สวนออนไลน์ และพัฒนาระบบ AI เพื่อใช้สนับสนุนกระบวนการไต่สวนของเจ้าหน้าที่

“กรมมั่นใจว่าจากมาตรการที่จะดำเนินการในช่วงครึ่งหลังปี 2568 จะทำให้การผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญอย่างข้าวและมันสำปะหลัง ทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนการปกป้องผู้ประกอบการไทยจากสินค้านำเข้า ที่เกิดขึ้นจากการเบี่ยงเบนทางการค้า จะใช้มาตรการที่มีอยู่จัดการได้ ส่วนการป้องกันการสวมสิทธิ์การส่งออกไปสหรัฐฯ ก็มีการวางระบบที่เข้มข้น และตรวจสอบได้ทุกช่องทาง มั่นใจว่าจะกำกับดูแลได้ และการรับมือกับสงครามการค้า ก็อย่างที่บอก มาตรการพร้อมแล้ว วิธีการพร้อมแล้ว สามารถดูแลผู้ประกอบการไทยไม่ให้ได้รับผลกระทบได้แน่นอน” นางอารดากล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น