xs
xsm
sm
md
lg

“พาณิชย์” เผยหลายชาติหันพึ่งตนเองด้านอาหาร ลดนำเข้า แนะไทยปรับกลยุทธ์รับมือ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สนค.จับตาสถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารของโลก พบผู้นำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารรายสำคัญ ทั้งจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เพิ่มมาตรการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ลดการนำเข้า แนะไทยเกาะติด วางกลยุทธ์รับมือ ทั้งการผลิตและการค้า เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร และการส่งออก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามสถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารของโลก พบว่าประเทศที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารรายสำคัญของไทย ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ล้วนมีมาตรการความมั่นคงทางอาหารในทิศทางเดียวกัน คือ การพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ลดการนำเข้า เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชากร และสนับสนุนการจ้างงานในประเทศ ซึ่งไทยจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ไทยสามารถปรับกลยุทธ์ทั้งด้านการผลิตและการค้าให้สอดคล้องสถานการณ์ของโลก ตลอดจนนำแนวทางการปฏิบัติที่ดีของประเทศต่างๆ ในการกำหนดนโยบายและมาตรการด้านความมั่นคงทางอาหารมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับไทย โดยกำหนดแผนพัฒนาระบบเกษตรและอาหารให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ

“ปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารรายสำคัญของไทย ได้วางแผนสร้างความมั่นคงทางอาหารไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งลดนำเข้า หันพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก ไทยจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์การผลิตและการค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศ ผลิตอาหารที่มีคุณภาพ และขับเคลื่อนการค้า การส่งออกให้เติบโตได้ต่อไป” นายพูนพงษ์กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของจีน ได้ออกกฎหมายความมั่นคงด้านอาหาร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2567 กำหนดให้กระบวนการและขั้นตอนการผลิตอาหารต้องดำเนินการและพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด เพื่อปกป้องอุปทานธัญพืชภายในประเทศ ปกป้องความมั่นคงทางอาหาร และปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง และได้กำหนดแนวทางนโยบายการเกษตรและการพัฒนาชนบทประจำปี (Rural Revitalization) ซึ่งให้ความสำคัญสูงสุดต่อความมั่นคงทางอาหารเช่นกัน โดยมุ่งพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตธัญพืชในประเทศ และลดการนำเข้าจากต่างประเทศ

สหรัฐฯ มีเป้าหมายสร้างความมั่นคงด้านอาหารที่ยั่งยืน เพื่ออนาคตที่ดีของประชาชน ลดความยากจน ลดความหิวโหย และภาวะขาดแคลนอาหารในทุกสถานการณ์ เช่น การแพร่ระบาดของโรค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งต่างๆ และความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้น โดยเร่งพัฒนาพื้นที่และลดความยากจน มุ่งเน้นสร้างความเท่าเทียมของประชากร สร้างงานโดยใช้ภาคเกษตรผลักดันเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นคงทางอาหารสำหรับคนในชาติ ควบคู่กับเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น รวมทั้งใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และสร้างภาคเกษตรที่ยั่งยืน

ญี่ปุ่น มีนโยบายเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในประเทศ ลดพึ่งพาการนำเข้า และผลักดันให้มีการผลิตข้าวสาลี ถั่วเหลือง ธัญพืชอาหารสัตว์ หญ้าแห้ง และปุ๋ยภายในประเทศเพิ่มขึ้น มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเอง มีเป้าหมายเพิ่มการเพาะปลูกสินค้าเกษตร พืชเลี้ยงสัตว์ ปรับฐานราคาสินค้าเกษตรให้เหมาะสม และส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ และให้ความสำคัญต่อคุณค่าทางโภชนาการของเด็ก และการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม

มาเลเซีย มีนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหาร เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนและยืดหยุ่นในภาคเกษตรกรรม ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ให้ความสำคัญกับคุณค่าทางโภชนาการ เพิ่มกำลังการผลิตอาหาร และให้ประชาชนเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในราคาจับต้องได้ ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรเพื่อพัฒนาภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ เพื่อเพิ่มผลผลิตและผลักดันการส่งออก ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีมาตรการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร

สำหรับสถานการณ์การนำเข้าสินค้าธัญพืชของโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงทางอาหาร พบว่า ในปี 2566 โลกนำเข้าธัญพืช 176,156.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 13.4% สินค้าธัญพืชที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก คือ 1. ข้าวสาลีและเมสลิน มีสัดส่วน 37.1% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของโลก 2. ข้าวโพด สัดส่วน 34.7% 3. ข้าว สัดส่วน 18.8% 4. ข้าวบาร์เลย์ สัดส่วน 6.5% และ 5. ข้าวฟ่าง สัดส่วน 1.3%

โดยประเทศผู้นำเข้าอาหารรายใหญ่ของไทยมีการนำเข้าสินค้าธัญพืช ได้แก่ 1. จีน มีการนำเข้าธัญพืช 20,544.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% โดยจีนมีมูลค่าการนำเข้าธัญพืชสูงสุดอันดับหนึ่งของโลก มีสัดส่วน 11.7% ของการนำเข้าธัญพืชของโลก ธัญพืชที่จีนนำเข้ามาก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวสาลีและเมสลิน และข้าวบาร์เลย์ โดยจีนนำเข้าจากบราซิลมากที่สุด รองลงมาคือ สหรัฐฯ สัดส่วน 19.7% และ 18.5% ตามลำดับ และนำเข้าจากไทย 298.4 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 1.5% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของจีน

2 .สหรัฐฯ มีการนำเข้าธัญพืช 3,588.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7% โดยสหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้าธัญพืชอันดับ 14 ของโลก มีสัดส่วน 2% ของการนำเข้าธัญพืชของโลก ธัญพืชที่สหรัฐฯ นำเข้ามาก ได้แก่ ข้าว ข้าวสาลีและเมสลิน และข้าวโอ๊ต โดยสหรัฐฯ นำเข้าจากแคนาดามากที่สุด สัดส่วน 47.9% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของสหรัฐฯ และนำเข้าจากไทยเป็นอันดับสอง มีมูลค่า 733.7 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 20.4% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของสหรัฐฯ

3. ญี่ปุ่น มีการนำเข้าธัญพืช 8,149.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 16% โดยญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าธัญพืชอันดับ 3 ของโลก รองจากจีน และเม็กซิโก มีสัดส่วน 4.6% ของการนำเข้าธัญพืชของโลก ธัญพืชที่ญี่ปุ่นนำเข้ามาก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวสาลีและเมสลิน และข้าว โดยญี่ปุ่นนำเข้าจากสหรัฐฯ มากที่สุด สัดส่วน 43.2% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของญี่ปุ่น และนำเข้าจากไทย 199.3 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 6 สัดส่วน 2.4% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของญี่ปุ่น

4. มาเลเซีย มีการนำเข้าธัญพืช 2,529.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2% โดยมาเลเซียเป็นผู้นำเข้าธัญพืชอันดับ 20 ของโลก สัดส่วน 1.4% ของการนำเข้าธัญพืชของโลก ธัญพืชที่มาเลเซียนำเข้ามาก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าว และข้าวสาลีและเมสลิน โดยมาเลเซียนำเข้าธัญพืชจากอาร์เจนตินามากที่สุด สัดส่วน 29.4% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของมาเลเซีย และนำเข้าจากไทยเป็นมูลค่า 212.8 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 6 สัดส่วน 8.4% ของมูลค่าการนำเข้าธัญพืชของมาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาการส่งออกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าธัญพืชส่งออกที่สำคัญของไทย ในปี 2566 ไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอินเดีย มีมูลค่าการส่งออก 5,144.44 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.33% ตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ อินโดนีเซีย สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ อิรัก และจีน มีสัดส่วน 14.2% 12.3% 8.9% 8.2% และ 6% ของมูลค่าการส่งออกข้าวของไทยตามลำดับ โดยไทยส่งออกข้าวไป 5 ประเทศดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วน 50% หรือครึ่งหนึ่งของการส่งออกข้าวไทยไปตลาดโลก และในช่วง 5 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) ไทยส่งออกข้าวแล้วมูลค่า 2,659.53 ล้านเหรียญสหรัฐ (ปริมาณ 4.06 ล้านตัน) เพิ่มขึ้น 39.71%


กำลังโหลดความคิดเห็น