บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) และอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศ (International Long-Term Local-Currency Issuer Default Rating) ของ บมจ.ปตท. (PTT) ที่ BBB+ และอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ AAA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะสั้น (International Short-Term Issuer Default Rating) ที่ F1 อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ F1+(tha) รวมถึงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของโครงการออกหุ้นกู้ (Medium-Term Debenture Program) มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท และโครงการออกหุ้นกู้มูลค่าหุ้นกู้รวมไม่เกินหนึ่งแสนล้านบาท ที่ AAA(tha)
อันดับเครดิตของ PTT สะท้อนถึงสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ที่ระดับ bbb+ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของประเทศไทย (BBB+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่มีความสัมพันธ์กับภาครัฐฯ (Government-Related Entities Rating Criteria) ของฟิทช์
อันดับเครดิตระยะยาวและระยะสั้นของ PTT จะยังคงเท่ากับอันดับเครดิตของประเทศไทย หากสถานะเครดิตโดยลำพังของ PTT ถูกปรับลงในอนาคต และฟิทช์พิจารณาว่าโอกาสในการได้รับการสนับสนุนภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตข้างต้นที่อยู่ในระดับสูงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สถานะเครดิตโดยลำพังของ PTT สะท้อนถึงสถานะทางเครดิตที่มั่นคงจากธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของบริษัทแบบครบวงจร รวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ โดยฟิทช์มองว่าธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และเคมีภัณฑ์จะยังคงเป็นธุรกิจหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของ PTT ไปจนถึงปี 2573 และ PTT มีแผนจะค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจพลังงานใหม่ๆ ที่มีคาร์บอนต่ำ รวมถึงธุรกิจอื่น นอกเหนือจากธุรกิจพลังงาน มากขึ้นในอนาคต
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
* แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนในระดับสูงมาก: ฟิทช์มองว่าบทบาทของ PTT ในการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐฯ (Preservation of government policy) ทางด้านพลังงานอยู่ในระดับสูงมาก โดย PTT มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ การผิดนัดชำระหนี้ของ PTT จะส่งผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำหรับประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้า และทำให้ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศลดลง
นอกจากนี้ ฟิทช์มองว่าผลกระทบต่อการกู้ยืมของภาครัฐฯ ในกรณีที่ PTT ผิดนัดชำระหนี้ (Contagion risk) อยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน เนื่องจากฟิทช์มองว่า PTT เปรียบเสมือนตัวแทนของภาครัฐฯ และรัฐวิสาหกิจที่มีการกู้เงินและออกหุ้นกู้ ดังนั้น การผิดนัดชำระหนี้ของ PTT จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการกู้ยืมเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ และต้นทุนทางการเงินของภาครัฐฯ และรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ด้วย
* ความรับผิดชอบในการให้การสนับสนุนในระดับสูง: ฟิทช์ประเมินเรื่องการดูแลและการควบคุม (Decision-making and oversight) ของภาครัฐฯ ต่อ PTT อยู่ในระดับสูง เนื่องจากภาครัฐฯ โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ร้อยละ 63 ใน PTT แม้ว่าภาครัฐฯ มีนโยบายให้ PTT ดำเนินธุรกิจในเชิงพาณิชย์ แต่ก็มีการควบคุมนโยบายการลงทุนและกลยุทธ์หลักๆ ในภาพกว้าง
นอกจากนี้ ฟิทช์มองว่าการสนับสนุนจากภาครัฐฯ (Precedents of support) ต่อ PTT อยู่ในระดับสูง ฟิทช์เชื่อว่าการที่ภาครัฐฯ ได้มีการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐวิสาหกิจในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่สำคัญต่อประเทศเช่นเดียวกันกับธุรกิจพลังงาน น่าจะทำให้เชื่อได้ว่าภาครัฐฯ น่าจะให้การสนับสนุนแก่ PTT เช่นกันในกรณีที่บริษัทฯ มีความต้องการ แม้ว่าที่ผ่านมา ไม่ได้มีการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทฯ เนื่องจาก PTT มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
* ต้นทุนก๊าซฯ ที่สูงขึ้นของธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ: ฟิทช์เชื่อว่ากำไรของธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ของ PTT จะลดลง และมีความผันผวนเพิ่มขึ้น จากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อ PTT น่าจะอยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ มีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย คิดเป็นประมาณร้อยละ 6 ของ EBITDA รวมของ PTT โดยเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
* ต้นทุนก๊าซธรรมชาติของธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ จะถูกปรับให้เท่ากับราคาต้นทุนถัวเฉลี่ยก๊าซฯ จากทุกแหล่ง (Pooled gas price) ซึ่งรวมถึงก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied natural gas) ซึ่งราคาก๊าซธรรมชาติเหลวโดยปกติจะมีราคาสูงกว่า และมีความผันผวนมากกว่าราคาก๊าซฯ จากอ่าวไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นกำไรของธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ จะได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนก๊าซฯ ที่ผันผวนมากขึ้น นอกเหนือจากราคาผลิตภัณฑ์ที่มีความผันผวนอยู่แล้ว
* ผลประกอบการอ่อนตัวลง แต่ยังคงแข็งแกร่ง: ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของ PTT จะอ่อนตัวลงในปี 2567 เนื่องจาก EBITDA จากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ลดลง จากการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะปรับลดลง และกำไรของธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่จะลดลง อย่างไรก็ตาม EBITDA ของ PTT จะยังคงแข็งแกร่งที่ประมาณ 3.65 แสนล้านบาทในปี 2567 (ปี 2566 อยู่ที่ 4.0 แสนล้านบาท) และอยู่สูงกว่าในปี 2559-2563 ฟิทช์คาดว่า EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี น่าจะปรับตัวลงเล็กน้อยในปี 2567
* การลงทุนที่สูง: ฟิทช์คาดว่ากลุ่ม PTT จะมีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ยังคงสูง จากการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดย บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) (อันดับเครดิต BBB+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทลูกในธุรกิจนี้มีการปรับแผนเงินลงทุน 5 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 นอกจากนี้ PTTEP ประกาศแผนการเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 25.5 (โดยทางอ้อม) ในโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในประเทศสกอตแลนด์ ด้วยเงินลงทุนประมาณ 689 ล้านเหรียญสหรัฐ
* สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง: ฟิทช์คาดว่าสถานะทางการเงินของ PTT จะยังคงแข็งแกร่งอยู่ และสอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทฯ แม้ว่าฟิทช์คาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนจะเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะปรับลดลงกลับมาอยู่ในระดับปกติ ฟิทช์คาดว่า PTT จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash flow from operation) ที่เพียงพอที่จะใช้ในการลงทุน ดังนั้นอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของ PTT น่าจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 1.7 เท่าในปี 2567-2568 (ในปี 2566 อยู่ที่ 1.6 เท่า)
* ห่วงโซ่มูลค่าของธุรกิจก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร: PTT จะยังคงขยายธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยจะมุ่งเน้นแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อทำให้การจัดหาก๊าซธรรมชาติสำหรับประเทศไทยมีความมั่นคง โดย PTTEP วางแผนที่จะเพิ่มการผลิตปิโตรเลียมในอัตราร้อยละ 5 ต่อปีในช่วงห้าปีข้างหน้า และเพิ่มให้ถึงประมาณ 8.1 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันภายในปี 2571 (โดยในปี 2566 อยู่ที่ 6.4 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน) บริษัทฯ จะยังคงเน้นการผลิตก๊าซธรรมชาติ (มีสัดส่วนร้อยละ 72 ของการผลิตปิโตรเลียมทั้งหมดในปี 2566) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่สำคัญในระหว่างการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานจากแหล่งฟอสซิลไปสู่การใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ
ธุรกิจท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติและการขายก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงไฟฟ้าและโรงแยกก๊าซฯ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มีความสม่ำเสมอ อันเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่มีความมั่นคง และสัญญาการซื้อขายก๊าซธรรมชาติระยะยาวซึ่งมีการกำหนดปริมาณการซื้อขั้นต่ำจากคู่สัญญาในลักษณะ take-or-pay รวมถึงโครงสร้างราคาที่สามารถส่งผ่านต้นทุนการขายให้แก่ลูกค้าได้ แต่กำไรจากธุรกิจการขายก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากกว่า เนื่องจากการปรับราคาของต้นทุนก๊าซธรรมชาติตามสัญญาการซื้อขายระยะยาว จะช้ากว่าการปรับราคาของราคาผลิตภัณฑ์
* กลยุทธ์ในการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน: PTT มีแผนที่จะกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจพลังงานในอนาคต เช่น พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถพลังงานไฟฟ้า และธุรกิจพลังงานจากไฮโดรเจน รวมถึงไปยังธุรกิจใหม่ๆ เช่น วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตและการแพทย์ (Life Science) เทคโนโลยีและดิจิทัล และการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 15,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 กลุ่ม PTT วางแผนที่จะลงทุนในธุรกิจพลังงานในอนาคต และธุรกิจใหม่ๆ คิดเป็นประมาณร้อยละ 32 ของแผนเงินลงทุนในปี 2564-2573 และวางเป้าหมายว่ากำไรสุทธิจากธุรกิจใหม่ๆ เหล่านี้จะมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิทั้งหมดในปี 2573