บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เป็นแนวโน้มเครดิตเป็นลบ จากแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และประกาศคงอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ นอกจากนี้ ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทที่ ‘AA(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’
โดยแนวโน้มเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่หนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ของ PTTGC ซึ่งฟิทช์ประมาณการว่าจะอยู่ในระดับประมาณ 5-6 เท่าจนถึงปี 2567 อาจยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่าในปี 2568 และหลังจากนั้น ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัท รวมถึงกำไรของ PTTGC ปรับลดลงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ต่ำกว่าระดับที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้อย่างมาก เนื่องจากสภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่อ่อนแอ และฟิทช์เชื่อว่า ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในอีก 1 ปี ข้างหน้า เนื่องจากอุปสงค์ที่จะยังคงเติบโตช้า และมีอุปทานใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของ PTTGC ยังคงได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้น 2 อันดับ จากสถานะเครดิตโดยลำพัง ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการให้การสนับสนุนจากบริษัทแม่
ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ตามวัฏจักรของธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น โดยความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ค่าการกลั่น ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท นอกจากนี้ PTTGC ยังมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบน้อยแหล่ง เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่มาจาก ปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการที่บริษัทรับวัตถุดิบส่วนใหญ่จาก ปตท. ได้ถูกบรรเทาลงจากการที่ ปตท. มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่ง และเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่ากำไรที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการลดลงของค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน จะทำให้ EBITDA Net Leverage ของ PTTGC ปรับตัวลดลงในปี 2566 และ 2567 จาก 12.7 เท่าในปี 2565 แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต โดย EBITDA Net Leverage น่าจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับประมาณ 3.5 เท่าในปี 2568 จากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อุปสงค์และส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่อาจอ่อนแอกว่าที่คาด อาจทำให้การลดลงของอัตราส่วนหนี้ของบริษัทล่าช้าออกไป EBITDA Net Leverage ที่อยู่ในระดับสูงของ PTTGC เกิดจากกำไรที่ลดลง และหนี้สินที่เพิ่มขึ้นหลังจากการเข้าซื้อกิจการ Allnex Holding GmbH ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ขณะที่ PTTGC กำลังพิจารณาแผนอื่นๆ เพื่อช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินให้เร็วขึ้น นอกเหนือจากการดำเนินการขยายเทอมการชำระเงินในการซื้อน้ำมันดิบกับบริษัทแม่ เพื่อลดความต้องการในการใช้เงินทุนหมุนเวียน
ส่วนการเข้าซื้อกิจการ Allnex สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ PTTGC ในการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจเคมีเกรดพิเศษ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และธุรกิจที่มีเสถียรภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบพื้นฐานในช่วงที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทางมีความผันผวนที่น้อยกว่าสัดส่วน EBITDA จากผลิตภัณฑ์ Performance Chemicals ของ PTTGC ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 22 ในปี 2565 หลังจากการเข้าซื้อ Allnex จากระดับที่ต่ำกว่าร้อยละ 5 ซึ่งทำให้สถานะทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น