ทริสเรทติ้ง.ลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) (RT) มาอยู่ที่ระดับ “BB+” จากเดิมที่ระดับ “BBB-” และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” การลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาด และสถานะทางการเงินของบริษัทที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับส่วนของทุนที่เล็กลงจากผลขาดทุนที่มากกว่าที่ประมาณการไว้ในปี 2565 และภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาในการเรียกเก็บเงินที่ยาวนานขึ้นของลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงิน เป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้ภาระทางการเงินสูงขึ้น อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างจำกัด ลักษณะงานก่อสร้างที่ไม่หลากหลาย และการกระจุกตัวสูงในโครงการขนาดใหญ่เพียงไม่กี่โครงการ รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงและความเป็นวัฏจักรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอีกด้วย ในอีกด้านหนึ่ง อันดับเครดิตได้รับแรงสนับสนุนจากผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ของบริษัทในด้านงานก่อสร้างอุโมงค์และโครงสร้างใต้ดินและมูลค่างานในมือของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการขาดทุน จำนวน 312 ล้านบาทในปี 2565 จากการลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นในหลายโครงการท่ามกลางต้นทุนวัสดุในการก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่ประมาณการ และการรับรู้รายได้ที่ช้าลงเนื่องจากเกิดความล่าช้าในงานก่อสร้างหลายโครงการ แม้ว่าจะมีปรับปรุงต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 แต่ปัจจัยเหล่านี้ยังคงกดดันกำไรของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดยบริษัทรายงานผลขาดทุน จำนวน 17 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มองไปข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นจากมูลค่างานในมือของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่มีเสถียรภาพมากขึ้นและโครงการที่ไม่ทำกำไรแล้วเสร็จลง ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะฟื้นกลับมาอยู่ที่ประมาณ 12-13% ในช่วงปี 2566-2568 รวมทั้งมองว่าบริษัทจะได้รับสัญญาก่อสร้างใหม่ๆ มูลค่าประมาณ 3-4 พันล้านบาทต่อปี เพื่อที่จะรักษารายได้จากการดำเนินงานประมาณ 3-4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในช่วง 300-450 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ แม้ผลการดำเนินงานของบริษัทแม้คาดว่าน่าจะฟื้นตัว แต่การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ นอกจากนี้ งานขุดเจาะที่มีความท้าทายอาจก่อให้เกิดอุปสรรคที่ไม่คาดคิดซึ่งมีความเสี่ยงที่จะทำให้โครงการเกิดความล่าช้า รวมถึงต้นทุนโครงการที่สูงกว่าคาดได้ ทั้งนี้ การถดถอยลงอย่างต่อเนื่องหรือการฟื้นตัวที่ช้ากว่าที่คาดของผลการดำเนินงานของบริษัทอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่ออันดับเครดิตได้
อนึ่ง สถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลขาดทุนที่มากกว่าที่ประมาณการไว้ส่งผลกระทบต่อฐานทุนของบริษัทให้เล็กลงเหลือประมาณ 1 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2566 จาก 1.34 พันล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2564 แม้ว่าทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจะกลับมามีกำไรในช่วงปี 2566-2568 แต่ก็อาจจะใช้เวลาหลายปีกว่าที่ฐานทุนจะกลับไปเท่ากับในช่วงปี 2564 นอกจากนี้ ระยะเวลาในการเรียกเก็บเงินที่ยาวนานขึ้นจนทำให้ลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงินและลูกหนี้การค้ารวมกันมีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทอยู่ในระดับสูง ทำให้ภาระหนี้และต้นทุนทางการเงินของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับเกือบ 2 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2566 จาก 990 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2564
มองไปข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการลดลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงินและลูกหนี้การค้าเป็นส่วนใหญ่ โดยคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อได้รับชำระเงินจากเจ้าของโครงการ แต่อย่างไรก็ตาม กรอบระยะเวลาในการได้รับชำระเงินจากเจ้าของโครงการยังคงมีความไม่แน่นอน ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าวงจรเงินสดของบริษัทจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงจากสูงสุดที่ 192 วันในปี 2565 มาสู่ระดับประมาณ 100-120 วันในปี 2568 ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4-6 เท่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 55-65% ซึ่งสูงกว่าระดับเป้าหมายก่อนหน้าของทริสเรทติ้งที่อยู่ในช่วง 47-54%