xs
xsm
sm
md
lg

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร LH ที่ A+

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




ทริสเรทติ้ง ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กร "แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" ที่ระดับ A+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ "คงที่" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาท กำหนดไถ่ถอนภายใน 5 ปีของบริษัทที่ระดับ A+ ด้วยเช่นกัน หวังนำเงินไปใช้คืนหนี้และขยายงาน




บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กร บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ที่ระดับ "A+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดไถ่ถอนภายใน 5 ปีของบริษัทที่ระดับ "A+" ซึ่ง LH จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้เงินกู้ที่มีอยู่บางส่วนและหรือเพื่อขยายธุรกิจ

โดยทริสระบุว่า อันดับเครดิตของ LH สะท้อนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ มีแหล่งรายได้ที่มีความหลากหลาย ตลอดจนภาระหนี้ที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง ซึ่งปัจจัยของอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากการที่บริษัทมีเงินลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์มูลค่าสูง

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากความกังวลของทริสเกี่ยวกับการปรับเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value หรือ LTV) ที่เข้มงวดมากขึ้นในปีนี้ อีกทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออุปสงค์ที่อยู่อาศัยและต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการในระยะสั้นถึงปานกลางด้วยเช่นกัน

ด้านผลการดำเนินงานของ LH ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อ่อนแอกว่าประมาณการของทริส รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน มาอยู่ที่ 1.39 หมื่นล้านบาทโดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยที่ลดลงอย่างมากเหลือ 9,800 ล้านบาท จาก 1.53 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ทริสมองว่าการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจค้าปลีกช่วยเพิ่มรายได้ค่าเช่าและบริการของบริษัทเป็น 3,600 ล้านบาท จากเพียง 1,500 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565

บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) และเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลงประมาณ 20-22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท และ 4,000 ล้านบาท ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทนั้นยังคงอยู่ที่ระดับ 34-36% มองไปข้างหน้า ทริสคาดว่าผลการดำเนินงานของ LH จะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากแผนเปิดตัวโครงการเพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ซึ่งจากประมาณการพื้นฐานของทริสคาดว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่า ประมาณ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2566

ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทเปิดขายโครงการใหม่มูลค่าเพียง 7,500 ล้านบาท อีกทั้งยังมียอดขายรอการรับรู้รายได้รวมมูลค่า 2,400 ล้านบาท ซึ่งยอดขายดังกล่าวคาดว่าจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

ทริส ระบุว่า ด้านภาระหนี้ของ LH สูงกว่าที่ประมาณการไว้เช่นกัน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ 56% เพิ่มขึ้นจากประมาณ 53% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 6.65 เท่า ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของทริสที่ 5 เท่าอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะลดภาระหนี้ลงสู่เป้าหมายดังกล่าวได้จากการที่บริษัทมีแผนจะขายโรงแรม 2 แห่งเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้นั้นบริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.5 เท่า โดย ณ เดือนมิถุนายน 2566 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.23 เท่า

ดังนั้น บริษัทควรบริหารโครงสร้างทางการเงินอย่างระมัดระวังให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการเงินของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้

ขณะที่บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ระดับ 28% และมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 12.6% ส่วนอัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นอยู่ที่ระดับ 7.3 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566

ทริสประเมินว่า LH จะมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนมิถุนายน 2566 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบไปด้วยเงินสดในมือจำนวน 5,400 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีกจำนวน 9,000 ล้านบาท

อีกทั้งเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทยังคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่เงินทุนที่บริษัทจะต้องใช้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับ 2.11 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระ 1 หมื่นล้านบาท เงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 7,600 ล้านบาท เงินกู้ยืมโครงการจำนวน 2,600 ล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่าการเงินจำนวน 0.9 พันล้านบาท

นอกจากนี้ ความสามารถในการเข้าถึงตลาดทุนและมูลค่าการลงทุนจำนวนมากของ LH ยังช่วยสนับสนุนสภาพคล่องได้หากจำเป็น  อีกทั้งบริษัทมีเงินลงทุนจำนวนมากในบริษัทร่วมซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ มูลค่ายุติธรรม (Fair Value) ของเงินที่บริษัทลงทุนในหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ประมาณ 6.74 หมื่นล้านบาท ทริสมองว่ามูลค่าของเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวนั้นขึ้นอยู่กับสภาวการณ์และความผันผวนของตลาด

อย่างไรก็ตาม ทริสมีความเห็นว่าเงินลงทุนดังกล่าวยังคงช่วยสนับสนุนความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ของบริษัทได้


กำลังโหลดความคิดเห็น