xs
xsm
sm
md
lg

ทริสให้เครดิตหุ้นกู้ซีพี ออลล์ วงเงินไม่เกิน 1.3 หมื่นล้านบาทที่ “A+”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร รวมทั้งหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ มีหลักประกัน และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” อีกทั้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ “A-” พร้อมกันนั้น ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.3 หมื่นล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 12 ปี ของบริษัทที่ระดับ “A+” ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้เดิม ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทยังคงเป็น “Positive” หรือ “บวก”

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศรวมทั้งการมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทยังมีปัจจัยส่งเสริมความแข็งแกร่งที่มาจากสถานะผู้นำในธุรกิจค้าส่งและธุรกิจค้าปลีกของบริษัทย่อยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีก ตลอดจนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมานิยมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์

ผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามประมาณการของทริสเรทติ้งอันเนื่องมาจากอัตราการเติบโตที่ดีของยอดขายจากธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อและธุรกิจค้าส่ง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 4.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะเดียวกัน กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ระดับ 3.9 หมื่นล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 9.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 5.3 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ซึ่งลดลงอย่างมากจากระดับ 8 เท่าในปี 2564

ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และการมีสัดส่วนของประเภทสินค้าที่ดีกว่าเดิม ตลอดจนกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าในช่องทางที่หลากหลาย (Omni-channel) ซึ่งจะช่วยให้มีสินค้าจำหน่ายในท้องตลาดอย่างทั่วถึงและการผสานพลังจากการบูรณาการธุรกิจของบริษัทในเครือต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้นคาดว่าจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อไปอีกในปี 2566 จากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและการมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน Omni-channel ของบริษัทย่อย ทริสเรทติ้งประมาณการว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 7.8-9.3 หมื่นล้านบาทในระหว่างปี 2566-2568 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5 เท่าในปี 2566 และจะอยู่ที่ระดับ 4.3-4.6 เท่าในระหว่างปี 2567-2568 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 57% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและอัตราส่วนหนี้สินที่ลดลง ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะผู้นำและความสามารถในการแข่งขัน อีกทั้งยังคงมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดในระดับสูงจะยังคงช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อสนับสนุนแผนการขยายกิจการของบริษัทในอนาคตต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น