เมืองไทย แคปปิตอล ปลื้ม! หุ้นกู้ 3 ชุดใหม่ มูลค่า 4,500 ล้านบาท ขายหมดเกลี้ยง ความต้องการล้นทะลัก ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุนที่มีต่อบริษัทในการเป็นผู้นำธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ของไทย เดินหน้าพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน ฟากผู้บริหาร "ปริทัศน์ เพชรอำไพ" ระบุแนวโน้มความต้องการสินเชื่อในครึ่งปีหลังยังอยู่ในระดับที่ดี พร้อมรุกปล่อยสินเชื่อใหม่เน้นคุณภาพดี สนับสนุนพอร์ตสินเชื่อปีนี้เติบโตเข้าเป้า 20%
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) ผู้นำธุรกิจสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ของเมืองไทย เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นกู้ 3 ชุดใหม่ มูลค่า 3,500 ล้านบาท ในช่วงระหว่างวันที่ 21-23 สิงหาคม 2566 มีผลตอบรับที่ดีมาก ทำให้บริษัทฯ ต้องนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม หรือ Greenshoe Option จำนวน 1,000 ล้านบาทออกมาใช้ เพื่อรองรับความต้องการส่วนเกินจากนักลงทุนซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ได้ทั้งหมด 4,500 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 1 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.70% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ เช่นเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ BBB+ แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ซึ่งอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Title Loan) ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง ตลอดจนแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่หลากหลายและเพียงพอของบริษัทฯ
"บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้การตอบรับหุ้นกู้ของ MTC โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการของบริษัทฯต่อไป ขณะเดียวกัน ยังเป็นบริษัทฯ ที่ดำเนินธุรกิจด้วยการยึดมั่นในหลักบรรษัทภิบาล ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี"
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งหลังปีนี้ บริษัทฯ คาดแนวโน้มความต้องการสินเชื่อยังอยู่ในระดับที่ดี โดยจะเน้นการปล่อยสินเชื่อคุณภาพดีให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจในปัจจุบัน และยังมั่นใจว่า ภาพรวมการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยคาดว่าปีนี้อัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อจะอยู่ที่ 20% และยังคงเป้าหมายระยะยาวจะมีพอร์ตสินเชื่อถึงระดับ 200,000 ล้านบาทในปี 2569 ในส่วนของระดับ NPL ของบริษัทฯ แม้จะปรับตัวสูงขึ้น แต่เชื่อว่าจะอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ปัจจุบัน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 บริษัทมีสาขาจำนวนทั้งสิ้น 7,260 สาขา เพิ่มขึ้น 592 สาขา จากสิ้นปี 2565 โดยถือว่าการขยายสาขาสามารถทำได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ที่บริษัทมีการปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับการประเมิน ESG MSCI Index ในปี 2566 ที่ระดับ AA ในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Customer Finance) โดยมีระดับที่สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า
รวมถึงได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศในการร่วมลงทุนต่อยอดธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ เป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จ ตลอดจนความเชื่อมั่นที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีต่อแนวคิดการบริหารธุรกิจโดยคำนึงความยั่งยืนของบริษัทอีกด้วย