บางจากแจ้งผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้รวม 242,931 ล้านบาท และมี EBITDA 31,433 ล้านบาท โดยไตรมาส 3 ปีนี้มีรายได้ 94,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรทุบสถิติสูงสุด 11,011 ล้านบาท มาจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้ามากขึ้น และบันทึกกำไรพิเศษจากการเข้าซื้อเอสโซ่จำนวน 7,389 ล้านบาท
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 242,931 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา( EBITDA) 31,433 ล้านบาท แม้ว่าธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันจะได้รับปัจจัยกดดันจาก Operating GRM ที่ลดลงในครึ่งแรกของปีจากราคาน้ำมันที่ลดลง แต่การที่มีการลงทุนและขยายธุรกิจส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพ ทั้งธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งบริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ทำให้งวด 9 เดือนนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 14,210 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 10.09 บาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2566 มีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 39 ปี อยู่ที่ 11,011 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 7.91 บาท โดยมีรายได้ 94,528 ล้านบาท มี EBITDA 13,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันที่ราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มี Inventory Gain 3,598 ล้านบาท, ปริมาณการจำหน่ายของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น, ธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามีการรับรู้การผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว เต็มไตรมาส และรับรู้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 โครงการ และรับรู้ผลการดำเนินงานของเอสโซ่ในสัดส่วนร้อยละ 76.34 ในงบการเงินรวม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 เป็นต้นมา รวมถึงมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อที่เกิดจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของทรัพย์สิน (PPA) จำนวน 7,389 ล้านบาท
สรุปผลการดำเนินงานแต่ละกลุ่มธุรกิจในไตรมาส 3 ปี 2566 พบว่า กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันมี EBITDA 6,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยค่าการกลั่นพื้นฐานในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ที่ 14.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นับเป็นระดับที่สูงกว่าค่าการกลั่นในตลาดสิงคโปร์ที่อยู่ที่ 9.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นฯ มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่ 116.4 พันบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของกำลังการผลิต
กลุ่มธุรกิจการตลาดมี EBITDA 1,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 จากไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ 1,571 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นทั้งตลาดค้าปลีกและตลาดอุตสาหกรรม เป็นผลจากการผลักดันการจำหน่าย การขยายสถานีบริการ และการส่งเสริมการตลาด ประกอบกับการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดน้ำมันอากาศยานตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
กลุ่มธุรกิจเอสโซ่ (ประเทศไทย) มี EBITDA 1,281 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 ได้เริ่มมีการรับรู้ผลการดำเนินงานของเอสโซ่ (ประเทศไทย) ในงบการเงินรวมของบางจากฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2566 ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชามีการหยุดดำเนินการผลิตเพื่อการซ่อมบำรุงตามแผนและเพื่อดำเนินการติดตั้งและเชื่อมต่ออุปกรณ์สำหรับโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 เป็นเวลา 25 วันในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้ามี EBITDA 1,330 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็น EBITDA สูงที่สุดใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว กลับมาผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเต็มไตรมาส และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 โครงการ) รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทยมีปริมาณการจำหน่ายไฟเพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมี EBITDA 169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อนหน้า และมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นตามแผนบริหารการขายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของบริษัท
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่มี EBITDA 4,873 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณจำหน่ายของ OKEA เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นของแหล่งผลิต Brage และ Nova (ในไตรมาส 2 ปี 2566 ไม่มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จาก 2 แหล่งนี้) นอกจากนี้ ราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก ทั้งนี้ OKEA ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐของนอร์เวย์ในการขยายการลงทุนในแหล่ง Statfjord โดยคาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566
ดังนั้น ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 สะท้อนอย่างชัดเจนถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจ อันเกิดจากการวางรากฐานในการสร้างขีดความสามารถของบางจากฯ นับเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจ ด้วยจุดยืนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเอื้อต่อบางจากฯ ในการแสวงหาและคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สู่ความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้น โดยเมื่อเดือนกันยายนบางจากฯ ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อหุ้น