PTTGC ลุ้นปี67 ปิโตรเคมีฟื้นตัวขึ้น หลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส2/65แล้ว แต่จะกลับสู่ภาวะปกติจะใช้เวลา 1-2ปีข้างหน้า พร้อมคุมเข้มการลงทุนใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบสงครามอิสราเอล-ฮามาส
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยภในงาน “ GC Sustainable Living Symposium 2023: We are GEN S” ว่าแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีในปี2567 คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2/2566 เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานเริ่มกลับมาสู่ระดับที่ดีขึ้น ภายหลังมีการชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ๆเข้าสู่ตลาด คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวกลับเข้าสู่สภาวะปกติทั้งหมดคงต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปี ซึ่งปัจจุบันบางตัวผลิตภัณฑ์ก็ปรับตัวดีขึ้นแล้ว
ส่วนแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น รวมทั้งจีนมีการเดินหน้าในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะเป็นปัจจัยบวก แต่ทั้งนี้ยังต้องติดตามว่าตัวเลขการนำเข้าปิโตรเคมีหลังจากนี้จะมีทิศทางอย่างไร
อย่างไรก็ตาม บริษัทคงให้ความสำคัญในการบริหารต้นทุนให้แข็งแรงและขยายธุรกิจไปยังธุรกิจใหม่ที่เป็นLow Cabon เช่นเดียวกับการเข้าซื้อ Allnex Holding GmbH (Allnex) ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินการบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายคงกระพัน กล่าวว่าสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสนั้น มองว่าเป็นปัจจัยที่กดดันทำให้ตลาดไม่มั่นใจและกำลังซื้อลดลง ดังนั้นบริษัทต้องมีความระมัดระวังในเรื่องการลงทุนใหม่ๆ รวมไปถึงการบริหารความเสี่ยง ส่วนกรณีการสต็อกน้ำมันดิบ ปัจจุบันบริษัทก็ไม่ได้มีการสต็อกน้ำมันมากนัก เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในเรื่องของทิศทางราคาน้ำมันจากสถานการณ์สงคราม แต่ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการขาดแคลนสต็อกน้ำมัน เพราะมีการบริหารจัดการให้เพียงพอรองรับต่อการใช้งาน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี2566 ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เหนื่อย ซึ่งธุรกิจปิโตรเคมีได้รับผลกระทบกันทั่วโลก ขณะที่ในส่วนของธุรกิจโบโอพลาสติก,ธุรกิจรีไซเคิล, กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ Performance Materials and Chemicals รวมไปถึงธุรกิจโรงกลั่น ยังมีทิศทางที่ดีอยู่
ในงาน GC Sustainable Living Symposium 2023: We are GEN S ครั้งที่4 จัดขึ้นภายในวันที่ 27-28 ต.ค.นี้ เป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของ GEN S คน GEN ใหม่หัวใจยั่งยืน เพื่อร่วมลงมือแก้ปัญหาเร่งด่วนของโลก และส่งต่อที่สุดแรงบันดาลใจการใช้ชีวิตในแบบ Sustainable Living โดยมี 40 สุดยอดผู้บริหาร และไอดอลคนGEN S จากในและต่างประเทศ ที่มาร่วมส่งต่อแนวคิดสู่แนวทางปฏิบัติจริงที่เป็นประโยชน์ในการเปลี่ยนผ่านจากสภาวะโลกร้อนที่กำลังเข้าสู่วิกฤตโลกเดือดให้เป็นโลกที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ประเทศไทย เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 1% เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลก แต่ไทยกลับเป็น 1 ใน 10 ประเทศของโลกที่ได้จะรับผลกระทบสูงสุดดังนั้นPTTGC ในฐานะองค์กรที่ขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนมายาวนาน ได้เล็งเห็น 2 แนวทางการแก้ไขปัญหาที่จะเป็นทางออกเร่งด่วนให้กับโลก ได้แก่ Energy Transition คือการปรับจากการใช้พลังงานแบบฟอสซิล ก้าวสู่การใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และ Circular and Bio-based Economy ซึ่งเกี่ยวข้องกับการ Reduce, Reuse และ Recycle มาปรับใช้ในการทำการเกษตรแบบคาร์บอนต่ำ เช่น การทำนาน้ำน้อย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้ทรัพยากร ในขณะที่ปริมาณผลผลิตได้เท่าเดิมหรือมากกว่า เป็นต้น
“พวกเราในฐานะกลุ่ม GEN S หรือ Generation Sustainability ต้องลงมือช่วยกัน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าGeneration ของพวกเราจะเป็น Generation ที่จะถูกจดจำว่าเป็นผู้ร่วมกันสร้างความแตกต่างให้กับโลกอย่างแท้จริง”นายคงกระพันกล่าว