SCGP รายได้ปี 66 ส่อแววพลาดเป้า 1.6 แสนล้านบาท หลัง 9 เดือนแรกปีนี้มีรายได้จากการขาย 9.75 หมื่นล้านบาท และมีกำไร 4.03 พันล้านบาท เตรียมปิดดีลควบรวมกิจการ (M&P) เพิ่มอีก 2 โครงการภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ใช้เงินลงทุนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2566 ว่า บริษัทคาดว่ารายได้เติบโตขึ้นกว่าไตรมาส 3/2566 ที่มีรายได้จากการขาย 31,572 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,325 ล้านบาท โดยอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4 นี้จะฟื้นตัวโดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ขณะที่ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคก็ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน หลังจากจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เห็นสัญญาณฟื้นตัวของภาคการผลิตและการปรับขึ้นราคากระดาษบรรจุภัณฑ์เป็นปัจจัยบวกให้กับการส่งออกของอาเซียน ส่วนธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะได้รับปัจจัยบวกจากการเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2567 จะกระตุ้นดีมานด์บรรจุภัณฑ์ในอุตสาหกรรมต่างๆ
ส่วนในปีหน้าบริษัทคาดว่าผลประกอบการบริษัทเติบโตขึ้นกว่าปี 2566 ที่ได้ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายรวมที่ 160,000 ล้านบาท ซึ่งผลดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีรายได้จากการขาย 97,517 ล้านบาท
นายวิชาญกล่าวต่อไปว่า บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนปี 2566 อยู่ที่ 8,000-9,000 ล้านบาท ต่ำกว่างบลงทุนที่ตั้งไว้เฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท ซึ่งความคืบหน้าการควบรวมกิจการ (M&P) บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถปิดดีลการลงทุนใน Starprint Vietnam JSC (SPV) ประเทศเวียดนาม ได้ภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ และเตรียมปิดดีล M&P เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ คือโครงการลงทุนเพิ่มบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้าและรองรับการขยายธุรกิจไปยังตลาดระดับโลก และการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตจากการขยายฐานลูกค้า คาดว่าได้ข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ใช้เงินลงทุนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าโครงการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ในประเทศไทย ได้เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 3/2566 และโครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษในประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 1/2567 สำหรับธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ Peute (เพอเท) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เตรียมเปิดโรงงานแห่งใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ซึ่งจะทำให้มีความสามารถจัดหากระดาษและพลาสติกรีไซเคิลเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2566 SCGP มีรายได้จากการขาย 97,517 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA 13,381 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 4,030 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากราคาและปริมาณขายสินค้ากระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษที่ปรับลดลง
ส่วนไตรมาสที่ 3/2566 SCGP มีรายได้จากการขาย 31,572 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา มี EBITDA อยู่ที่ 4,229 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิ 1,325 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากปริมาณการส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ของอินโดนีเซียไปจีนลดลงและราคาเยื่อกระดาษที่ลดลง
SCGP ได้ดำเนินตามกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะตลาด โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มยอดขายบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังเติบโตได้ดีในอาเซียนจากการบริโภคภายในประเทศ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป ผลไม้ และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค จากความต้องการใช้ในประเทศไทยและเวียดนามที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการพัฒนาระบบการทำงานและนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยโรงงานในไทยสามารถประหยัดต้นทุนด้านพลังงานได้ถึงปีละ 130 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 30,000 ตันคาร์บอนต่อปีในปี 2566