“ภูมิธรรม” สั่งการกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เดินหน้าทำ FTA กับคู่ค้าที่อยู่ระหว่างการเจรจาให้สำเร็จโดยเร็ว และศึกษาเปิดทำ FTA กับคู่ค้าใหม่ ล่าสุดจ่อปิดดีลภายในปีนี้ และปี 67 ได้รวม 3 ฉบับ ไทย-ยูเออี ไทย-ศรีลังกา และไทย-EFTA
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ให้นโยบายกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในการเร่งเจรจาจัดทำความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ให้สำเร็จโดยเร็ว ทั้ง FTA ที่อยู่ระหว่างเจรจา และศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดการเจรจา FTA กับคู่ค้าใหม่ๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก และขยายตลาดการค้า การลงทุนให้ไทย เพราะเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและกำชับให้ดำเนินการเป็นเรื่องเร่งด่วน
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมี FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจา และคาดว่าจะสามารถปิดการเจรจาได้ภายในปี 2567 จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ FTA ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) FTA ไทย-ศรีลังกา และ FTA ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA)
สำหรับ FTA ไทย-ยูเออี จะเป็นฉบับแรกที่เจรจาจบ ขณะนี้ผ่านการเจรจาไปแล้ว 4 รอบ คาดจะสรุปผลได้ในปี 2566 โดยตลาดยูเออีมีกำลังซื้อสูงมาก จากทั้งชาวเอมิเรตส์ แรงงานต่างชาติ และนักท่องเที่ยว และยังมีทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่จะช่วยกระจายสินค้าของไทยให้มีแต้มต่อในการเข้าสู่ตลาดตะวันออกกลาง โดยผลการศึกษาพบว่า FTA จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มขึ้น 11,194 -12,567 ล้านบาท การส่งออกของไทยไปยูเออีเติบโตขึ้น 21,609-30,126 ล้านบาท สำหรับสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์ เช่น อาหาร สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังสัตว์ ไม้ ยาง และพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น ขณะที่สาขาบริการที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ เช่น การขนส่ง การเงิน และบริการด้านธุรกิจ เป็นต้น
ส่วน FTA ที่คาดว่าจะสำเร็จต่อมา คือ FTA ไทย-ศรีลังกา ขณะนี้ผ่านการเจรจามาแล้ว 6 รอบ ตั้งเป้าสรุปผลการเจรจาในต้นปี 2567 โดยศรีลังกาเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์เส้นทางการเดินเรือที่สำคัญของมหาสมุทรอินเดียที่เชื่อมเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป และมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จะช่วยขยายโอกาสทางการค้า เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันผู้ประกอบการไทยในตลาดเอเชียใต้ รวมทั้งใช้ศรีลังกาเป็นฐานการผลิตสินค้า กระจายไปสู่ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป โดยผลการศึกษาพบว่าจะช่วยเพิ่มจีดีพีอีก 4,130 ล้านบาท การลงทุนของไทยในศรีลังกาเพิ่มขึ้นปีละ 1,912 ล้านบาท และสินค้าที่คาดว่าไทยจะขยายตลาดได้ ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรกลและเครื่องใช้ไฟฟ้า โลหะ น้ำตาล และพลาสติก และอุตสาหกรรมที่จะลงทุนในศรีลังกา เช่น อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม สิ่งทอ อัญมณี เครื่องประดับ เป็นต้น
ขณะที่ FTA ฉบับสุดท้ายที่คาดว่าจะสำเร็จ คือ FTA ไทย-EFTA โดยได้เจรจากันไปแล้ว 6 รอบ และตั้งเป้าหมายสรุปผลช่วงกลางปี 2567 ซึ่งจะเป็น FTA ที่มีมาตรฐานสูง ช่วยยกระดับความสามารถการแข่งขันของไทย ดึงดูดการลงทุน และสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะสาขาที่ EFTA มีศักยภาพ เช่น เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยสินค้าที่ไทยได้ประโยชน์ เช่น เกษตรและอาหาร ข้าว ข้าวโพดหวาน อาหารสำเร็จรูป และอาหารสุนัขและแมว ผลไม้เมืองร้อน แป้ง น้ำมันพืช ไก่แปรรูป น้ำตาล และผลิตภัณฑ์ เส้นก๋วยเตี๋ยว ผักและผลไม้กระป๋อง และน้ำผลไม้ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องแต่งกาย ยานยนต์และชิ้นส่วน อัญมณีและเครื่องประดับ ขณะที่กลุ่มบริการที่จะได้ประโยชน์ เช่น การท่องเที่ยว การเงิน โทรคมนาคม การแพทย์ สุขภาพ พลังงานสะอาด ด้านวิชาชีพ