“พาณิชย์” นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการเจรจาทำ FTA ไทย-อียูรอบแรก ที่บรัสเซลส์ 18-22 ก.ย.นี้ เผยจะมีการประชุมระดับหัวหน้าคณะผู้แทน และประชุมกลุ่มย่อยระดับผู้เชี่ยวชาญ 19 คณะ เพื่อผลักดันการเจรจาให้สามารถสรุปผลได้ตามเป้าใน 2 ปี เผยหากทำ FTA สำเร็จดัน GDP ไทยเพิ่ม 1.28% ต่อปี ส่งออกเพิ่ม 2.83% ดึงการลงทุนจากต่างประเทศ เพิ่มจ้างงาน และสร้างแต้มต่อทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทยในตลาดอียู
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้เตรียมนำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (อียู) รอบแรก ระหว่างวันที่ 18-22 ก.ย. 2566 ณ กรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม ซึ่งการประชุมประกอบด้วยการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้า (TNC) ระดับหัวหน้าคณะผู้แทนที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการเจรจาในภาพรวม และการประชุมกลุ่มย่อยระดับผู้เชี่ยวชาญ 19 คณะ เพื่อหารือในรายละเอียดเรื่องต่างๆ และผลักดันให้การเจรจาบรรลุผลตามเป้าหมายที่จะสรุปผลภายใน 2 ปี
สำหรับการประชุมกลุ่มย่อย 19 คณะ ประกอบด้วย 1. การค้าสินค้า 2. กฎถิ่นกำเนิดสินค้า 3. พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า 4. มาตรการเยียวยาทางการค้า 5. มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) 6. อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (TBT) 7. การค้าบริการและการลงทุน 8. การค้าดิจิทัล 9. ทรัพย์สินทางปัญญา 10. การแข่งขันและการอุดหนุน 11. การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ 12. การค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน 13. วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 14. รัฐวิสาหกิจ 15. พลังงานและวัตถุดิบ 16. ระบบอาหารที่ยั่งยืน 17. ความโปร่งใสและหลักปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ 18. การระงับข้อพิพาท และ 19. บทบัญญัติเบื้องต้น บทบัญญัติทั่วไป บทบัญญัติสุดท้าย บทบัญญัติเกี่ยวกับสถาบัน และข้อยกเว้น
ทั้งนี้ ทีมเจรจาของไทย ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศ
นางอรมนกล่าวว่า สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) ได้ประเมินประโยชน์และผลกระทบเบื้องต้นของการจัดทำ FTA ไทย-อียู คาดว่าจะช่วยให้ GDP ของไทยขยายตัวร้อยละ 1.28 ต่อปี การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.83 ต่อปี และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.81 ต่อปี รวมทั้งจะช่วยสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ และการจ้างงานของไทย ตลอดจนสร้างแต้มต่อทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทยในตลาดอียู รวมทั้งยกระดับมาตรฐานกฎระเบียบในเรื่องที่เกี่ยวข้องให้เป็นสากลมากขึ้น เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิแรงงาน สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน เป็นต้น และหลังการเจรจา ระหว่างการเจรจา กรมจะหารือกับผู้มีส่วนได้เสียเป็นระยะ เพื่อให้การเจรจาเป็นไปด้วยความรอบคอบและเกิดประโยชน์สูงสุด
ในช่วง 7 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-ก.ค.) การค้าระหว่างไทยกับอียูมีมูลค่า 24,791.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอียูมูลค่า 12,950.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าจากอียูมูลค่า 11,840.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ