ไทย-ยูเออี เจรจาจัดทำ FTA รอบ 3 คืบหน้าตามเป้าหมาย ทั้งการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้า และการประชุมคณะทำงานกลุ่มย่อย 9 คณะ ตั้งเป้าสรุปผลเจรจาภายในปีนี้ เผยประโยชน์ช่วยขยายการค้า การลงทุน สินค้าไทยจะได้ประโยชน์เพียบ ทั้งอาหาร สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย ไม้ ยาง และพลาสติก ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม รอบ 4 ปลายเดือน ก.ย.นี้
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการเข้าร่วมประชุมเจรจาจัดทำความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (CEPA) ไทย–สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) รอบที่ 3 ระหว่างวันที่ 29 ส.ค.-1 ก.ย.2566 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า ภาพรวมการเจรจาคืบหน้าด้วยดี ทั้งการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้า ซึ่งเป็นการประชุมระดับหัวหน้าคณะ โดยฝ่ายไทย มีตนเป็นหัวหน้าทีมเจรจา และฝ่ายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีนาย Juma Mohammed Al Kait ผู้ช่วยปลัดด้านการค้าต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจยูเออี เป็นผู้รับผิดชอบการเจรจา และการประชุมคณะทำงานกลุ่มย่อย 9 คณะ ที่มีความคืบหน้าในทุกเรื่อง และได้กำหนดการประชุมรอบที่ 4 ช่วงปลายเดือน ก.ย.2566 ที่กรุงเทพฯ เพื่อสรุปผลการเจรจาให้ได้ภายในปีนี้ตามเป้าหมายที่ทั้งสองฝ่ายตั้งไว้
สำหรับคณะทำงานกลุ่มย่อย 9 คณะ ประกอบด้วย 1.การค้าสินค้า 2.กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า 3.พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า 4.มาตรการเยียวยาทางการค้า 5.การค้าบริการและการค้าดิจิทัล 6.ทรัพย์สินทางปัญญา 7.มาตรการที่เป็นอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า 8.มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช และ 9.ประเด็นด้านกฎหมาย
นางอรมนกล่าวว่า ผลการศึกษาประเมินว่า การจัดทำ CEPA ระหว่างไทยกับยูเออี จะช่วยขยายการค้าและการลงทุนระหว่างสองฝ่ายผ่านการเปิดตลาด การอำนวยความสะดวก รวมทั้งลดและเลิกอุปสรรคทางการค้า โดยคาดว่าจะช่วยให้การส่งออกของไทยในภาพรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น 190–243 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,652-8,508 ล้านบาท โดยสินค้าที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ เช่น อาหาร สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังสัตว์ ไม้ ยาง และพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น ขณะที่สาขาบริการที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ เช่น การขนส่ง การเงิน และบริการด้านธุรกิจ เป็นต้น
ทั้งนี้ ยูเออีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในตลาดโลก และเป็นอันดับ 1 ในตะวันออกกลาง โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับยูเออี มีมูลค่า 20,474.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วง 7 เดือนของปี 2566 (ม.ค.–ก.ค.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 11,120.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการส่งออกจากไทยไปยูเออี มูลค่า 1,817.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าจากยูเออี มูลค่า 9,302.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น สินค้านำเข้าสำคัญจากยูเออี เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น