บอร์ดแข่งขันทางการค้ามีมติเป็นเอกฉันท์ให้ “บางจาก” ควบรวมกับ “เอสโซ่” ได้โดยมีเงื่อนไข คาดว่าจะส่งเงื่อนไขไปให้บางจากพิจารณาภายใน 30 วัน และหากพิจารณารับเงื่อนไขก็สามารถเดินหน้าควบรวมกิจการได้ คาดปิดดีลได้ภายในปลายปีนี้
แหล่งข่าวระดับสูงเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) ควบรวมกับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(ESSO) ได้โดยมีเงื่อนไข ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
สำหรับรายละเอียดเงื่อนไขนี้จะส่งให้บริษัท บางจากฯ พิจารณาภายใน 30 วัน และนับตั้งแต่รับหนังสือ หากบางจากฯพิจารณารับเงื่อนไขก็สามารถเดินหน้าควบรวมกิจการกับเอสโซ่ได้
ทั้งนี้ บางจากฯ ได้เสนอซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (ExxonMobil) โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 ซึ่งบางจากฯ คาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ ExxonMobil ได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 ภายหลังจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มีมติเห็นชอบแล้ว ซึ่งภายหลังจากทำธุรกรรมซื้อหุ้น ESSO จาก ExxonMobil เสร็จแล้ว โดยจะกำหนดราคาเสนอซื้อหุ้นครั้งสุดท้ายภายหลังจาก ESSO แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2/2566 เชื่อว่าราคาสุดท้ายจะอยู่ในช่วงที่ 8-9 บาท/หุ้น จากนั้นบางจากฯ ก็จะทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) จากผู้ถือหุ้นรายย่อย คาดว่าดีลดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปลายปี 2566
สำหรับแหล่งเงินทุนในการซื้อ ESSO บางจากจะใช้เงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนแต่อย่างใด
บางจากฯ ระบุว่าการควบรวมกิจการครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบางจาก โดยมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น คือ มีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นรวม 2,145 แห่ง ทำให้บางจากมีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันอยู่ที่ 21.4% ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก OR ขณะเดียวกันมีโรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่ง คิดเป็นกำลังการกลั่นรวม 297,000 บาร์เรล/วัน ใหญ่เป็นอันดับ 1 แซงหน้าบมจ.ไทยออยล์
อย่างไรก็ดี ทาง ExxonMobil จะยังคงดำเนินธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไปภายหลังขายหุ้น ESSO ให้บางจากแล้ว
