นับตั้งแต่รัสเซียเข้าปฏิบัติการทางการทหารในยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา จนบัดนี้ได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลากว่า 1 ปีแล้ว ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของยูเครน ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบ หรือเศรษฐกิจของรัสเซียที่ถูกมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก แต่ผลกระทบจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยังขยายวงกว้างส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมไปถึงกระทบต่อการส่งออกของไทย ภาวะค่าครองชีพของไทย และเศรษฐกิจของไทยในปีที่ผ่านมาด้วย
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ซึ่งเป็นหน่วยงานมันสมองของกระทรวงพาณิชย์ ที่มี “นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” เป็นผู้อำนวยการ ได้สั่งการให้ทีมงานทำการวิเคราะห์ผลกระทบจาก “วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน” ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยบ้าง เกิดอะไรขึ้นกับทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างไร และทิศทางจากนี้จะเป็นอย่างไร
ส่งออกไทยไป 2 ชาติกระทบหนัก
ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี ท่ามกลางการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน การส่งออกของไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นนอน และได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากความขัดแย้งดังกล่าว ซึ่งผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกของไทยที่เห็นได้ชัดเจน คือ การหดตัวของการส่งออกไปยังรัสเซียและยูเครน อันเนื่องมาจากปัญหาด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์ และระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ
โดยการส่งออกไปยังรัสเซียปรับตัวลดลง 10 เดือนต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2565 ทำให้การส่งออกไปรัสเซียทั้งปี 2565 หดตัวจากปีก่อนถึง 43.3% เช่นเดียวกับการส่งออกไปยูเครนที่หดตัวรุนแรง 12 เดือนต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2565 ทำให้ทั้งปี 2565 หดตัวลง 71.4%
ส่งออกภาพรวมกระทบเล็กน้อย
ทั้งนี้ แม้การส่งออกของไทยไปยังรัสเซียและยูเครนจะลดลง แต่ สนค.ประเมินแล้วพบว่าส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทยในวงจำกัด เนื่องจากมูลค่าการส่งออกไปยังรัสเซียและยูเครนมีสัดส่วนน้อย เมื่อเทียบกับการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 0.5% ในปี 2564
โลกทั้งโลกปั่นป่วน ของแพง-เงินเฟ้อพุ่ง
หากมองในแง่ของโลก พบว่าผลกระทบทางอ้อมจากความขัดแย้งและมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยเป็นวงกว้าง ทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้า การเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบและขาดแคลนวัตถุดิบ เช่น เหล็ก แร่สำหรับผลิตเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่ ธัญพืช (ข้าวสาลี ข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน) และปุ๋ย เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ราคาพลังงาน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และการชะงักงันของห่วงโซ่การผลิตอันเนื่องมาจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานนั้น ผลักดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นทั่วโลก นำมาซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนและธุรกิจ และทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงตามมา ซึ่งกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยผลกระทบดังกล่าวเริ่มเห็นได้ชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ที่การส่งออกของไทยชะลอตัวลงต่อเนื่องจนติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือนเมื่อเดือน ต.ค. 2565 โดยลดลง 4.4% และหดตัวต่อเนื่องในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. โดยลดลง 6.0% และ 14.6% ตามลำดับ ส่งผลให้การส่งออกครึ่งปีหลังหดตัวลง 1.2% ต่างจากครึ่งแรกปี 2565 ที่ขยายตัวได้สูงถึง 12.6% ทำให้ภาพรวมการส่งออกทั้งปี 2565 ขยายตัวได้ 5.5%
ปีนี้ตลาดรัสเซียเห็นแววรุ่ง
นายพูนพงษ์กล่าวว่า แม้ภาพรวมการส่งออกไปยังรัสเซียในปี 2565 จะหดตัวค่อนข้างสูง แต่เมื่อพิจารณารายสินค้า จะเห็นว่าเป็นการหดตัวจากการส่งออกรถยนต์ที่เป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทยไปยังรัสเซียมาโดยตลอด โดยมีสัดส่วนประมาณ 30% และหดตัวถึง 75.2% ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งของรัสเซียที่ได้รับความเสียหายจากมาตรการคว่ำบาตรค่อนข้างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม มองว่าหลังจากนี้ไทยยังมีโอกาสส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ เนื่องจากรัสเซียเริ่มขาดแคลน เพราะผลกระทบจากการถอนธุรกิจของชาติตะวันตก ขณะที่สินค้าอื่นๆ หลายรายการยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดรัสเซีย โดยการส่งออกสินค้าหลายรายการขยายตัวได้ในระดับสูงในปี 2565 และหลายรายการขยายตัวกว่าการส่งออกของไทยไปตลาดโลก เช่น ข้าว เพิ่ม 315.5% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพิ่ม 197.6% ผลไม้กระป๋อง เพิ่ม 33.0% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เพิ่ม 44.0% เครื่องดื่ม เพิ่ม 37.4% อาหารสัตว์เลี้ยง เพิ่ม 23.5% และสิ่งปรุงรสอาหาร เพิ่ม 27.6% รวมไปถึงสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็ยังขยายตัวได้ดีและเป็นที่ต้องการ เช่น เม็ดพลาสติก เพิ่ม 11.7% น้ำมันสำเร็จรูป เพิ่ม 44.7% เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ เพิ่ม 69.6%
“กลุ่มสินค้าเหล่านี้จะยังมีโอกาสส่งออกได้ต่อเนื่อง และการส่งออกไปรัสเซียในภาพรวมของปี 2566 ก็มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้มากขึ้น ด้วยสัญญาณที่ดีจากเศรษฐกิจรัสเซียในปี 2565 ที่หดตัวเพียง 2.1% ดีกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ในช่วงแรกของความขัดแย้งว่าจะหดตัวมากกว่า 10% ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจรัสเซียยังแข็งแกร่งและสามารถรับมือกับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรได้มากกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ในปี 2566 IMF คาดว่าเศรษฐกิจรัสเซียจะกลับมาเติบโตที่ได้ 0.3%” นายพูนพงษ์กล่าว
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรใช้โอกาสขยายตลาดจากการที่รัสเซียพยายามหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนสินค้าจากมาตรการคว่ำบาตร และทดแทนสินค้าของชาติตะวันตกที่ออกไปจากตลาด ประกอบกับการที่รัสเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง มองว่าสินค้าไทยยังมีโอกาสอีกมากในตลาดรัสเซีย
ตลาดยูเครนยังไม่ฟื้นตัว
สำหรับการส่งออกไปยังยูเครน ปีที่ผ่านมาหดตัวเกือบทุกรายการ โดยหมวดสินค้าเกษตรลด 90.7% อุตสาหกรรมเกษตรลด 69.0% และสินค้าอุตสาหกรรมลด 70.9% เนื่องจากภาวะสงครามในประเทศที่สร้างข้อจำกัดในทุกด้าน บ่งชี้จากเศรษฐกิจยูเครนในปี 2565 ที่หดตัวถึง 30.4%
“อาจกล่าวได้ว่าในขณะนี้การส่งออกไปยูเครนยังไม่มีโอกาสมากนัก เนื่องจากยูเครนยังอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เป็นปกติ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐาน และพื้นที่ทางการเกษตรในประเทศเสียหายอย่างหนัก ซึ่งคาดว่าต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายปีในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ” นายพูนพงษ์กล่าว
คาดสงครามยืดเยื้อ-ยังไม่ยุติเร็ววัน
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนหลังจากนี้ นายพูนพงษ์กล่าวว่า จากการวิเคราะห์พบว่าการสู้รบจะยังคงมีความยืดเยื้อและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงในเร็ววันนี้ เนื่องจากรัสเซียประกาศว่าจะยังคงปฏิบัติการทางทหารต่อไป พร้อมทั้งส่งสัญญาณยกระดับปฏิบัติการทางทหาร และวางแผนเพิ่มกำลังพล ตลอดจนการระงับสนธิสัญญาควบคุมการใช้อาวุธนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ ซึ่งกำลังสร้างความกังวลว่าอาจบานปลายกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ ขณะที่ชาติตะวันตกหรือ NATO ก็พร้อมที่จะตอบโต้รัสเซีย ทั้งด้านการทหารด้วยการส่งอาวุธล้ำสมัยให้ยูเครนมากขึ้นควบคู่ไปกับมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย และยังยืนยันความพร้อมที่จะสนับสนุนยูเครนไปจนกว่าความขัดแย้งจะได้ข้อยุติ
จากสถานการณ์ดังกล่าวที่ทำให้ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ ผู้ประกอบการไทยควรประกันความเสี่ยง และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งต้องแสวงหาโอกาสทางการค้าใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโต โดยเฉพาะตลาดเดิมและตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากตลาดรัสเซียและยูเครนหดตัว แม้ว่าปีนี้ สนค.จะประเมินว่าตลาดรัสเซียจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น แต่ก็ยังเบาใจไม่ได้เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ การเตรียมความพร้อม การเตรียมมาตรการรับมือไว้ล่วงหน้า จะเป็นการดีที่สุด