“เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์” ตั้งเป้ารายได้ปีนี้พุ่งแตะ 4.5 หมื่นล้านบาท หลังไลน์การผลิต PP4 แล้วเสร็จในช่วงปลายปี 65 เผยขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติก PP ขยับสูงขึ้น หนุนให้บริษัทพลิกกลับมีกำไรอีกครั้ง
นายคอร์โซ อูซีลลี่ ประธาน บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 2566 อยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3.2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากสายการผลิตที่ 4 ของโรงงานโพลีโพรพิลีน (PP4) ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อไตรมาสที่ 4/2565 แม้ว่าจะเดินเครื่องจักรผลิตไลน์การผลิต 4 ได้ไม่เต็มที่ ทำให้ทั้งปี 2566 บริษัทคาดว่าจะผลิตเม็ดพลาสติก PP ราว 8 แสนตัน/ปี จากกำลังผลิตรวม 1.06 ล้านตัน/ปี
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นการผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษและเกรดคุณภาพสูงจากเทคโนโลยีชั้นนำที่เรียกว่า Spherizone เพื่อตอบรับทุกความต้องการของลูกค้า ในการสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่ม ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มอัตราการผลิตให้สูงขึ้น ควบคู่กับการขยายโอกาสการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ ขณะเดียวกันบริษัทก็มีแผนขยายตลาดสู่ภูมิภาคอื่นๆ เช่น เอเชียกลาง แอฟริกา อเมริกาใต้ เป็นต้น
สำหรับทิศทางราคาเม็ดพลาสติก PP ในปีนี้ ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติก PP ในตลาดโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,100 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าทั้งปี 2566 ราคาเฉลี่ยน่าจะสูงกว่าปัจจุบัน โดยในช่วงปลายปี 2565 ราคาเม็ดพลาสติก PP ได้ตกลงมาอยู่ที่ 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากขณะนี้ลูกค้าเริ่มกลับมาเก็บสต๊อกเม็ดพลาสติกเพิ่มขึ้นหลังจากจีนประกาศเปิดประเทศและเศรษฐกิจถดถอยไม่รุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ผลประกอบการในปีนี้บริษัทจะกลับมามีกำไรอีกครั้ง
“การก้าวสู่ปีที่ 40 เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ยังคงเดินหน้าคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ พัฒนาสู่ความเป็นเลิศทั้งในด้านฐานการผลิต และการดำเนินธุรกิจทุกๆ มิติอย่างต่อเนื่อง มุ่งผลักดันให้สายการผลิตที่ 4 ดำเนินการผลิตสูงสุดเต็มศักยภาพ เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติก PP รวมกว่า 1 ล้านตันต่อปีตามเป้าหมาย พร้อมนำเทคโนโลยี Spherizone อันทันสมัยที่สุดในการผลิตเม็ดพลาสติก PP จากบริษัท LyondellBasell ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท สู่การผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษ และเกรดคุณภาพสูง ซึ่งมีความแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นๆ ในตลาด ทำให้สามารถนำไปผลิตสินค้ากลุ่มการแพทย์และสุขอนามัย กลุ่มบรรจุภัณฑ์ทั้งแบบแข็งและแบบยืดหยุ่น และกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่”
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญต่อการนำหลัก ESG มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานและการบริหารความยั่งยืน โดยอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อทำแผนโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Neutrality) รวมทั้งบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาเม็ดพลาสติก PCR หรือ Post-Consumer Recycled หรือการนําพลาสติก PP ที่ผ่านการใช้งานมาผ่านกระบวนการทําความสะอาด ปรับปรุงคุณสมบัติ ด้วยเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม ให้สามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง รวมถึงการทดลองจัดทำโครงการ PP Reborn อันเป็น Waste Management Platform ของบริษัทฯ เพื่อกระตุ้นภาคสังคมให้เห็นความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียนในวงกว้างด้วย
ในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 3.2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตกว่า 4% จากปีก่อน แต่มีผลขาดทุนสุทธิ เนื่องจากเศรษฐกิจผันผวน จีนปิดประเทศ สงครามรัสเซียกับยูเครนทำให้ต้นทุนวัตถุดิบและราคาพลังงานสูง กำลังการผลิตจากโรงงานใหม่เข้าสู่ตลาด รวมทั้งในช่วงปลายปีลูกค้ามีการเร่งระบายสต๊อกเม็ดพลาสติกกดดันให้ราคาเม็ดพลาสติกลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ดี บริษัทหันมาเน้นการผลิตเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยมีสัดส่วนการขายสินค้าเกรดพิเศษ SPDP (Specialty-Differentiated) กว่า 50% ของยอดขายและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกสู่ตลาดโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปี ภาพรวมฐานะการเงินมีความแข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำ 0.7 เท่า