"อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป" เผยไตรมาส 3 ปีบัญชี 65/66 (ต.ค.-ธ.ค.65) อวดรายได้จากการขาย 3,006 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 3,250 ล้านบาท หรือลดลง 7.5% ขณะอัตรากำไรขั้นต้นที่ 34.5% และมีกำไรสุทธิรายไตรมาสที่ 213 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 402 ล้านบาท หรือลดลง 47.1% เหตุขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะเงินบาทแข็งค่าขึ้น
รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลกโดยมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศประมาณ 70% ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศช่วงที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 3 ปีบัญชี 65/66 (ต.ค.-ธ.ค.65) บริษัทมีรายได้จากการขาย 3,006 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 3,250 ล้านบาท หรือลดลง 7.5% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 34.5% และมีกำไรสุทธิรายไตรมาสที่ 213 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 402 ล้านบาท หรือลดลง 47.1% โดยแบ่งการดำเนินงานตาม 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้
ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขาย 839 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 8.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการสินค้าฉนวนยางที่มีคุณภาพสูง ซึ่งผ่านมาตรฐานการรับรองความปลอดภัย และจากการขยายตลาดไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และระบบ Air Ducting system อีกทั้งมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการผลิตและการลงทุนเอกชนที่ยังขยายตัว ส่วนยอดขายในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยอดขายในประเทศปรับตัวดีขึ้นตามการลงทุนภาคเอกชนทยอยฟื้นตัวตามลำดับ
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้กลุ่ม Aeroklas มีรายได้จากการขาย 1,498 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สถานการณ์ชิปขาดแคลน (Semiconductor Shortage) ทั่วโลกมีแนวโน้มคลี่คลายลง อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับส่งมอบชิปมากขึ้นจึงสามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับยานยนต์รุ่นใหม่ได้ทยอยออกสู่ตลาด ส่งผลให้ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้กลุ่ม Aeroklas ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น
สำหรับธุรกิจในออสเตรเลียยอดขายชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากการซื้อกิจการ 4 Way Suspension Products Pty.Ltd ออสเตรเลีย แม้ว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมหนักในออสเตรเลีย และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขาย 669 ล้านบาท หรือ ลดลง 11.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารชะลอตัวลง แต่บรรจุภัณฑ์ประเภทถ้วยน้ำดื่มเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว บริษัทให้ส่วนลดและจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายบรรจุภัณฑ์พลาสติกช่วงปลายปี นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการปรับกลยุทธ์และกระบวนการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากขึ้นในอนาคต
บริษัทมีต้นทุนขายสินค้าลดลง 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้น บริษัทได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตในหลายประเทศเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยจากราคาวัตถุดิบมีราคาเหมาะสม สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 13.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากค่าขนส่งและค่าเช่าคลังสินค้าของธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น การปรับอัตราการจ้างพนักงานตามตลาดแรงงานในสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย การจ้างพนักงานเพิ่มเติมเพื่อขยายร้านค้าสาขา TJM ออสเตรเลียอีก 2 แห่ง และค่าโฆษณาสินค้า กิจกรรมเพื่อประชาสัมพันธ์ และค่าพัฒนาระบบ IT ของออสเตรเลีย รวมทั้งรับรู้ค่าใช้จ่ายของ 4 Way Suspension Products Pty.Ltd ออสเตรเลีย เป็นต้น
บริษัทมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 114 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 108 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลีย อีกทั้งบริษัทมีเงินให้กู้ยืมจากบริษัทย่อยในประเทศไทยไปยังบริษัทย่อยในประเทศออสเตรเลีย เป็นเงินสกุลดอลลาร์ออสเตรเลียเพื่อใช้ในการซื้อกิจการ นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 60 ล้านบาท
รศ.ดร.เฉลียว กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปีบัญชี 65/66 (เม.ย.-ธ.ค.65)บริษัทมีรายได้จากการขาย 9,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 32.9% สูงกว่าเป้าหมาย และมีกำไรสุทธิ 828 ล้านบาท ลดลง 34.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน