PTTGC แจงปี 65 ขาดทุนสุทธิ 8.75 พันล้านบาท ลดลง 119% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.5 หมื่นล้านบาท
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริหาร พีทีที โกลบอล เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยผลประกอบการในปี 2565 ว่าบริษัทขาดทุนสุทธิ 8,752 ล้านบาท ลดลง 119% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44,982 ล้านบาท
ในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 678,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อน จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นจากการเปิดประเทศ ทำให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซีย-ยูเครนกระทบต่อราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสูงขึ้นอย่างมาก
เช่นเดียวกับราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน
นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้ผลประกอบการของ allnex เข้ามาเต็มปี โดยในปี 2565 บริษัทฯ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 49,134 ล้านบาท ลดลง 13% ตามทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ปรับตัวลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีขั้นกลางและกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ขณะที่อุปสงค์ได้รับผลกระทบจากการปิดประเทศของจีน กำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาด รวมทั้งความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ภาพรวมในปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ฯลฯ) ในปีนี้อยู่ที่ 18,984 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการโดยรวมในปีนี้ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นมีผลประกอบการใกล้เคียงกับในปีก่อน โดยเฉพาะโรงกลั่นน้ำมันมีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้นในปีนี้
ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีมีผลประกอบการอ่อนตัวลงจากปีก่อนตามทิศทางส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่ลดลงทั้งปัจจัยด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น และอุปสงค์ปลายทางที่ยังอ่อนตัวลงจากปัจจัยด้านการตลาด รวมทั้งปีนี้บริษัทมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นต้นทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน โรงอะโรเมติกส์ หน่วยที่ 1 และโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3
ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางมีผลประกอบการลดลง เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวลง ขณะที่อุปทานได้รับผลกระทบจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาในตลาด นอกจากนี้ บริษัทมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงานของกลุ่มปิโตรเคมีขั้นกลาง ได้แก่ โรงฟีนอลหน่วยที่ 2 โรงบีพีเอ โรงโมโนเอทิลีนไกลคอล และโรงโพรพิลีนออกไซด์
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์และเคมีภัณฑ์มีผลประกอบการลดลงจากปีก่อน แม้ว่าราคาเม็ดพลาสติกส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางราคาวัตถุดิบ แต่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาด