SCC ตัดสินใจเดินเครื่องโรงโอเลฟินส์ ROC ช่วงก.พ.นี้ รองรับการฟื้นตัวตลาดปิโตรเคมีหลังจีนเปิดประเทศ และศก.ถดถอยในยุโรป-สหรัฐไม่รุนแรง ทำให้มีดีมานด์ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการ LSP ในเวียดนามเสร็จกลางปีนี้ ดันผลประกอบการปี66โตกว่าปีก่อน
นายณรงค์พันธุ์ ลีสหะปัญญา Corporate Planning Director บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCCเปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทตัดสินใจกลับมาเดินเครื่องโรงงานโอเลฟินส์ROC ภายในเดือน ก.พ.นี้ หลังจากปิดซ่อมบำรุงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ดีขึ้นในช่วงนี้หลังจีนเปิดประเทศ และเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปและสหรัฐไม่รุนแรงนัก ทำให้มีความต้องการเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ(สเปรด)ปรับตัวดีขึ้น
ส่งผลให้บริษัทจะมีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นมาจากการกลับมาเดินเครื่องของโรงงาน ROC จากไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ประมาณ 3.3 แสนตัน จะเพิ่มเป็น 5 แสนตันตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไป
ดังนั้น แนวโน้มผลการดำเนินงานบริษัทในช่วงไตรมาส 1/2566 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน รวมทั้งคาดว่าทั้งปี 2566 ก็น่าจะดีขึ้น จากปีก่อนจากการเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และสเปรดเคมิคอลส์จะปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าจะมีซัพพลายใหม่เข้ามา แต่ตลาดรับรู้อยู่แล้ว รวมทั้งรับรู้รายได้จากโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP)ที่เวียดนาม
ความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีครบวงจรLSP มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์อยู่ที่ 1.35 ล้านตันต่อปี และโพลิโอเลฟินส์อยู่ที่ 1.4 ล้านตันต่อปี จะเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์กลางปี2566 จะทำให้SCC มีรายได้รวมเติบโตขึ้น10%
ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในปีนี้ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากอุปสงค์ที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากปีก่อน และการปรับราคาขายสินค้าเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปีที่ผ่านมาปรับขึ้นราคาซีเมนต์ประมาณ 150-200 บาทต่อตัน และในปี 2566 คาดว่าจะปรับขึ้นอีก ขณะที่ต้นทุนถ่านหินมีแนวโน้มปรับตัวลดลง และบริษัทหันไปพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับงบลงทุนปีนี้ บริษัทตั้งไว้ที่ 4-5 หมื่นล้านบาท เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งจะใช้สำหรับโครงการ LSP ที่เวียดนามแล้วเสร็จตามแผน ส่วนที่เหลือในสำหรับโครงการต่อเนื่องที่อยู่ในแผนงานอยู่แล้ว