เงินเฟ้อ ธ.ค. 65 เพิ่มขึ้น 5.89% ตามการสูงขึ้นของสินค้ากลุ่มพลังงาน ค่าไฟ ก๊าซหุงต้ม อาหาร ส่วนยอดรวมทั้งปี เพิ่ม 6.08% สูงสุดในรอบ 24 ปี ส่วนแนวโน้มเงินเฟ้อปี 66 คาดไตรมาสแรกยังเพิ่มในอัตราชะลอตัว ส่วนทั้งปีตั้งเป้าไว้ที่ 2.0-3.0% ค่ากลาง 2.5%
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน ธ.ค. 2565 เท่ากับ 107.86 เทียบกับ พ.ย. 2565 ลดลง 0.06% เทียบกับเดือน ธ.ค. 2564 เพิ่มขึ้น 5.89% ส่วนเงินเฟ้อรวมทั้งปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค.) อยู่ที่ 6.08% ใกล้เคียงกับที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ไว้ว่าเงินเฟ้อทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ 5.5-6.5% ค่ากลาง 6.0% โดยเป็นตัวเลขที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 24 ปี นับจากปี 2541 ที่เคยขึ้นไปสูงถึง 8.1%
สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อเดือน ธ.ค. 2565 เพิ่มขึ้น มาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าในหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 3.87% ตามการสูงขึ้นของสินค้ากลุ่มพลังงานที่สูงขึ้น 14.62% ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม รวมทั้งค่าโดยสารสาธารณะ ขณะที่สินค้าทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก รวมถึงยาสีฟัน แชมพู ค่าแต่งผม สูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มีสินค้าที่ราคาลดลง เช่น โฟมล้างหน้า แป้งผัดหน้า ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ค่าสมาชิกเคเบิลทีวี ส่วนสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 8.87% โดยอาหารสำเร็จรูป เพิ่ม 9.66% เช่น ข้าวราดแกง อาหารเช้า ก๋วยเตี๋ยว และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมถึงเนื้อสุกร เนื้อไก่ ไข่ไก่ และข้าวสาร ส่วนมะเขือเทศ กะหล่ำปลี พริกสด ผักกาดขาว มะขามเปียก มะพร้าวแห้งขูด กล้วยน้ำว้า และทุเรียนราคาลดลง
ทั้งนี้ ในส่วนของเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก เพิ่มขึ้น 0.06% เมื่อเทียบกับ พ.ย. 2565 และเพิ่มขึ้น 3.23% เมื่อเทียบกับ ธ.ค. 2564 และเฉลี่ย 12 เดือน เพิ่ม 2.51%
สำหรับเงินเฟ้อทั้งปี 2565 ที่เพิ่มขึ้น 6.08% นั้นมีปัจจัยสำคัญมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น โดยทั้งปีสูงขึ้นถึง 23.93% และยังมีปัญหาจากภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้การผลิตพลังงานตึงตัว ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม และยังมีการปรับขึ้นค่าจ้าง ดอกเบี้ย เงินบาทอ่อนค่า ที่กระทบต่อต้นทุนแฝงในการผลิต ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และยังมีโรคระบาดในสุกร ปัญหาอุทกภัย ที่กระทบต่อการผลิตของเนื้อสุกรและผักสด ทั้งนี้ หากแยกเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 6.08% พบว่าสัดส่วน 1% มาจากการเพิ่มขึ้นของเนื้อสุกร ไก่ และไข่ไก่ 1% มาจากอาหารสำเร็จรูป 1% มาจากค่ากระแสไฟฟ้า 2% มาจากค่าน้ำมัน และ 1% สุดท้ายเป็นการเพิ่มขึ้นของสินค้าอื่นๆ
นายพูนพงษ์กล่าวว่า แนวโน้มเงินเฟ้อในปี 2566 คาดว่าไตรมาสแรกจะยังเพิ่มขึ้น แต่จะชะลอตัวจากช่วงปลายปี 2565 และค่อยๆ ลดลงตั้งแต่เดือน เม.ย. 2566 เป็นต้นไป เพราะสินค้าส่วนใหญ่ทรงตัวและราคาเริ่มปรับลดลง ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศต่างๆ และฐานปี 2565 ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล การกำกับดูแลราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์ แต่ก็มีปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ เช่น การขึ้นค่าไฟฟ้า การปรับค่าจ้างทั้งระบบ เงินบาทที่ยังผันผวน การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่จะกระทบต่อสินค้าและบริการในบางกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา เช่น ความผันผวนสินค้าโภคภัณฑ์จากความเสี่ยงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สภาพอากาศแปรปรวน การระบาดของโควิด-19 และโรคระบาดในสัตว์ ที่จะต้องติดตามใกล้ชิด
“จากปัจจัยที่ประเมินไว้ กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์เงินเฟ้อปี 2566 ไว้ที่ 2.0-3.0% มีค่ากลางอยู่ที่ 2.5% ซึ่งน่าจะต่ำสุดในรอบ 10 ปี เพราะปี 2565 เงินเฟ้อทั้งปีอยู่ที่ 2.18% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของจีดีพีที่ 3.0-4.0% ราคาน้ำมันดิบดูไบ 85-95 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 36-37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งเท่าที่ดูตอนนี้เงินเฟ้อทั้งปียังมีโอกาสปรับลงอีก เพราะสมมติฐานราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง โดยเฉลี่ย ธ.ค. 2565 อยู่ที่ 76.82 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเฉลี่ย ธ.ค. 2565 อยู่ที่ 34.97 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยหากสถานการณ์เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้งหนึ่ง” นายพูนพงษ์กล่าว