‘คีรี’ ทวงหนี้ "สายสีเขียว" กว่า 4 หมื่นล้านบาท ลั่นถึงเวลาที่ กทม.ต้องจ่ายได้แล้วตามคำสั่งศาล เรียกร้อง "นายกฯ" และ ครม.ตัดสินใจแก้ปัญหา ชี้ยอดหนี้เพิ่มทุกวัน
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ตอบรับคำเชิญจาก นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการลงทุน และการขนส่งระบบราง ร่วมพูดคุยถึงระบบขนส่งทางราง
นายคีรีกล่าวว่า ปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในขณะนี้ไม่อยากให้พูดถึงการขยายสัมปทาน แต่หน่วยงานของรัฐบาลควรหางบประมาณมาจ่ายหนี้ให้กับบีทีเอสได้แล้ว และไม่ควรมาถกเถียงกันเรื่องสัญญา เพราะทุกวันนี้บีทีเอสยังคงเดินรถในส่วนต่อขยายอย่างต่อเนื่อง ทั้งส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่-บางหว้า และช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่สำคัญศาลปกครองกลางได้พิพากษาว่า กทม.ต้องร่วมจ่ายหนี้ค้างชำระค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการฯ ที่บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ได้ค้างชำระในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว 11,755 ล้านบาท นับเฉพาะยอดหนี้ที่ค้างจ่ายจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับจากคดีถึงที่สุด อีกทั้งบีทีเอสได้ให้เวลาในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวกับ กทม.มาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นควรตัดสินใจ และแก้ไขปัญหากับเรื่องดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
นายคีรีกล่าวว่า อยากให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมทั้ง กทม.เข้ามาตรวจสอบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะดำเนินการกันอย่างไรต่อไป แต่บีทีเอสขอยืนยันว่าจะไม่หยุดเดินรถอย่างแน่นอน เพราะประชาชนจะเดือดร้อน และอย่าทำเป็นเพิกเฉยต่อหนี้ที่เกิดขึ้น และอย่าอ้างถึงสิ่งที่ไม่เข้าใจเพื่อยืดเยื้อหนี้ เพราะจะเป็นการกลั่นแกล้งภาคเอกชน
อีกทั้งตัวเลขหนี้ที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบันกว่า 40,000 ล้านบาทแล้ว และดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นทุกวันหากปล่อยไว้ภาษีของประชาชนจะเสียหาย และอย่าใช้ข้ออ้างว่าต้องการปกป้องอะไร แต่ควรหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรือหากไม่มีงบประมาณมาจ่ายหนี้ ก็ควรหาข้อเสนอมาเพื่อแก้ไข แต่ไม่ควรนิ่งเฉยรอให้หมดสัญญาสัมปทานปี 2572 เพราะต้นทุนยังเพิ่มขึ้นทุกวัน ทั้งค่าจ้างพนักงาน ค่าไฟฟ้า และค่าซ่อมบำรุง
ส่วนกรณีกระแสข่าวการยุบสภา และจะทำให้การแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ล่าช้ามากกว่าเดิมนั้น ขอไปศึกษาให้ชัดเจนก่อน เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล แต่เรื่องหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยืดเยื้อจะต่อเนื่องไปยังรัฐบาลชุดใหม่แน่นอน และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะติดตัวไปยังผู้ที่ดำเนินการไม่ถูกต้องเช่นกัน
นายคีรีกล่าวถึงปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) หากไม่ได้มีการล้มประมูลไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาอาจทำให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณได้กว่า 68,612 ล้านบาท เพราะบีทีเอสขอรับเงินสนับสนุนจากโครงการเพียงแค่ 9,675 ล้านบาท แต่ผู้ชนะการประมูลโครงการรายล่าสุดคือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ขอรับเงินสนับสนุนจากโครงการถึง 78,285 ล้านบาท เรื่องนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบ และรัฐบาลต้องไปศึกษาเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าหากไม่มีการแก้ไขหลักเกณฑ์ หรือล้มประมูล ประเทศชาติจะได้ประโยชน์มากกว่าใช่หรือไม่ ดังนั้นต้องไปตรวจสอบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใดถึงเสียเวลาไป 2 ปี เพราะบีทีเอสต่อสู้ในเรื่องนี้เพราะต้องการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติเท่านั้น
ส่วนปัญหาเรื่องราคาค่าโดยสาร มีแนวทางที่สามารถทำให้ราคาถูกลงได้ โดยใช้วิธีให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุน และประชาชนจะได้ใช้บริการด้วยอัตราค่าโดยสารที่ถูกลง แต่ไม่ควรให้เอกชนมาแบกรับเพราะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีต้นทุน ทั้งค่าจ้างพนักงาน, จัดซื้อขบวนรถไฟฟ้า, ค่าบริหาร และค่าซ่อมบำรุง ดังนั้นหากจะทำให้ค่าโดยสารถูกลงไปพร้อมกันคงทำได้ยาก
ขณะที่การเดินทางมายังพรรคชาติไทยพัฒนาในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการลงทุน และการขนส่งระบบรางให้กับพรรคการเมืองที่สนใจในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศพัฒนาต่อไปได้ ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาก็เป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเป็นพรรคการเมืองที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการบริหารประเทศซึ่งตนพร้อมที่จะให้คำปรึกษา หากโครงการดังกล่าวสามารถทำให้ประเทศเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน