บ้านปูโชว์กำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 แตะ 311 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 10,264 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 510 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยหลักมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาตลาดถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนใน Sunseap Group จำนวน 179 ล้านเหรียญสหรัฐ
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2565 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 1,256 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 41,509 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 520 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,247 ล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 71 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 596 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,693 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 117 จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้ไตรมาส 1/2565 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 311 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 10,264 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 260 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 510 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/2565 เป็นผลมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาตลาดถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ส่งผลดีต่อภาพรวมกลุ่มบริษัทและในไตรมาสนี้ได้รวมผลประกอบการของโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่ได้ทำการลงทุนในระหว่างปี 2564 ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple 1 ในสหรัฐฯ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตยในออสเตรเลีย โรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม และโรงไฟฟ้า Nakoso ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน Sunseap Group จำนวน179 ล้านเหรียญสหรัฐ
“ช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมาเราสามารถสร้างรายได้ที่แข็งแกร่งจากภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมโลกและความต้องการพลังงานที่เพิ่มสูง โดยมีกระแสเงินสดที่เติบโตจากทั้งธุรกิจที่มีอยู่และจากธุรกิจที่เข้าไปลงทุนเพิ่มใหม่ๆ บ้านปูยังคงมุ่งเดินหน้าสร้างการเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์พลังงานโลกอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญต่อการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง โดยกระจายความเสี่ยง และคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ (Antifragile) จากปัจจุบันที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลังงาน ภาวะความไม่สงบทางการเมืองในยุโรป อัตราดอกเบี้ยและราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นอย่างมาก รวมทั้งสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดอยู่ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของกลุ่มบ้านปูในการรับมือกับทุกสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งบ้านปูยังหาโอกาสสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังที่เห็นจากความสำเร็จในการลงทุนที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา”
สำหรับการเดินหน้าในการสร้างการเติบโตของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้คือ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ทางด้านธุรกิจเหมือง ยังคงรักษากำลังการผลิตและปริมาณสำรองที่ดีเพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการในตลาดและคว้าโอกาสที่จะสามารถสร้างมูลค่าให้ธุรกิจ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คว้าโอกาสจากสถานการณ์ราคาก๊าซที่เพิ่มสูงขึ้น และมองหาโอกาสต่อยอดการลงทุนจากแหล่งก๊าซต้นน้ำไปยังธุรกิจกลางน้ำ โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป มุ่งเน้นเสริมสร้างประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ด้วยความยืดหยุ่นจากราคาต้นทุนพลังงานที่มีความผันผวนควบคู่กับการขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE) สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มีการขยายการลงทุนในตลาดกลยุทธ์สำคัญที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ยังคงเน้นการสร้างอัตราการเติบโตให้พอร์ตเทคโนโลยีพลังงานที่มีอยู่ รวมทั้งลงทุนและพัฒนาโซลูชันหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานรูปแบบใหม่ และเสริมสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างพลังร่วมระหว่างธุรกิจที่มีอยู่กับธุรกิจใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ เมืองอัจฉริยะ โซลาร์ลอยน้ำ และระบบการบริหารจัดการพลังงาน และยังเดินหน้าขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคา ขนาด 5.9 เมกะวัตต์ ในอินโดนีเซีย และการเดินหน้าโครงการ Summer Lasalle เฟส 3 ในกรุงเทพมหานคร ขนาด 982 กิโลวัตต์