ปตท.สผ.เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1/ 2565 อยู่ที่ 318 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากขาดทุนจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นและไม่มีรายการรับรู้กำไรจากการซื้อโครงการโอมาน แปลง 61 ขณะที่ปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 427,368 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน พร้อมรุกธุรกิจใหม่รองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน โดยร่วมมือกับพันธมิตรทำการศึกษาเกี่ยวกับการผลิตกรีนอีเมทานอล การดักจับและกักเก็บคาร์บอน วางเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 บริษัทมีรายได้รวม
2,083 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 68,890 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 304 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 54,034 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิ 318 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 10,519 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 15 จากไตรมาส 1 ปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 376 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 11,534 ล้านบาท) เนื่องจากขาดทุนจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น รวมถึงไตรมาสหนึ่งปีก่อนมีกำไรจากการซื้อโครงการโอมาน แปลง 61 สุทธิกับการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่เกิดจากการสำรวจปิโตรเลียมในประเทศบราซิล
เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2564 ปตท.สผ.มีรายได้รวม 2,083 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 68,890 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งมีรายได้ 1,989 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 66,222 ล้านบาท) สาเหตุหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 427,368 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เทียบกับ 420,965 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในไตรมาส 4 ของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มปริมาณการผลิตและขายก๊าซขั้นต่ำของโครงการอาทิตย์
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 1 นี้บริษัทมีรายจ่ายจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-operating items) โดยมีผลขาดทุนจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันจำนวน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากผลประกอบการดังกล่าว ส่งผลให้
ปตท.สผ.มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ที่ 318 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 10,519 ล้านบาท) ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิที่ 321 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 10,646 ล้านบาท)
สำหรับต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ในไตรมาสที่ 1/2565 นี้อยู่ที่ 26.54 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ร้อยละ 78 ซึ่งเป็นไปตามที่เป้าหมายที่วางไว้
“ในส่วนการดำเนินงานหลักของปีนี้ ปตท.สผ.ให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานในโครงการจี 1/61 หลังจากบริษัทเข้าเป็นผู้ดำเนินการเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565 โดยจะเร่งแผนงานการเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้ตามเงื่อนไขในสัญญาแบ่งปันผลผลิต เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของประชาชนและประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสทางการลงทุนในธุรกิจใหม่นอกเหนือจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ซึ่งขณะนี้ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทำการศึกษาเกี่ยวกับการผลิตกรีนอีเมทานอลซึ่งเป็นพลังงานสะอาด และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเป็นอีกหนึ่งแนวทาง ในการดำเนินธุรกิจของ ปตท.สผ.ที่จะสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ และการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน”
นายมนตรีกล่าวว่า ปตท.สผ.ได้กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ซึ่งจะดำเนินงานผ่านแนวคิด EP Net Zero 2050 เพื่อสร้างคุณค่าร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสีย และการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
การดำเนินงานตามแนวคิด EP Net Zero 2050 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวจะครอบคลุม Scope 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง และ Scope 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่ง ปตท.สผ.เป็นผู้ดำเนินการ (Operational Control) โดยได้กำหนดเป้าหมายเพื่อลดปริมาณความเข้ม (Intensity) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ภายในปี 2573 และร้อยละ 50 ภายในปี 2583 (จากปีฐาน 2563) เพื่อนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ตามเป้าหมายในปี 2593
เมื่อเร็วๆ นี้ ปตท.สผ.ได้ร่วมมือกับ บริษัท อินเป็กซ์ คอร์ปอเรชั่น และเจจีซี โฮลดิ้งส์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ในประเทศไทย ซึ่งจะครอบคลุมถึงขั้นตอน เทคโนโลยี และกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคอุตสาหกรรม รวมถึง ได้ลงนามความร่วมมือกับ 5 บริษัทนานาชาติชั้นนำด้านพลังงานและโลจิสติกส์ ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง “โรงงานผลิตกรีนอีเมทานอล” (Green e-methanol) เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำที่ได้จากการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ชีวภาพ ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่จะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization หรือ CCU)