xs
xsm
sm
md
lg

บีซีพีจีลั่นไตรมาส 2/65 โตต่อเนื่อง หลังโชว์กำไร Q1 พุ่ง 160%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“บีซีพีจี” กำไรไตรมาส 1/2565 พุ่งร้อยละ 160.4 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากรับรู้กำไรการขายหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย รวมทั้งปริมาณผลิตไฟฟ้าเพิ่ม-รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน คาดไตรมาส 2 นี้โตต่อเนื่องจากการทยอย COD โรงไฟฟ้าเพิ่ม พร้อมลุยขยายกำลังผลิต เล็งปิดดีลซื้อกิจการ หนุน EBITDA ปี 65 โตเข้าเป้า 25-35%

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2564 และไตรมาสที่ 4/2564 ร้อยละ 160.4 และ ร้อยละ 473.4 ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการขายหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย

ขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 516.7 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสที่ 1/2564 ร้อยละ 5.7 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3A” และ “Nam San 3B” เพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่ตกมากขึ้นจากพายุฤดูร้อนในระหว่างไตรมาส รวมถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น

"ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 ยังคงเป็นไปตามที่บริษัทฯ ได้ประมาณการไว้ และยังรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้เป็นอย่างดี และบริษัทฯ คาดว่าในไตรมาส 2/2565 น่าจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะได้มีการทยอยเปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 45 เมกะวัตต์ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันการเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ จะช่วยทำให้มีปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดภายในปี 2568" นายนิวัติกล่าว

สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ากำไรก่อนจะหักภาษีดอกเบี้ย, ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโตประมาณ 25-35% จากปีก่อน เนื่องจากคาดว่าจะมีการรับรู้ EBITDA จากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาอย่างโดดเด่น ขณะเดียวกันปีนี้มีแผนที่จะลงทุนซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น