ผู้เลี้ยงไก่ไข่ประกาศขึ้นราคาไข่คละหน้าฟาร์มเป็นฟองละ 3.50 บาท มีผล 22 เม.ย.นี้ จากต้นทุนอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นไม่หยุด หลัง “พาณิชย์” ไม่ช่วยลดต้นทุน ส่วนหมูขยับด้วย เนื้อแดงกิโลกรัมละ 190-200 บาท สามชั้นทะลุ 230 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2565 สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว จำกัด สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่สุพรรณบุรี จำกัด และสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี จำกัด รวมถึงชมรมผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ลำพูน ได้ประกาศปรับราคาแนะนำไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มเกษตรกรขึ้นอีกฟองละ 10 สตางค์ หรือแผงละ 3 บาท จาก 3.40 บาทต่อฟอง เป็น 3.50 บาทต่อฟอง มีผลตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย. 2565 เป็นต้นไป
นายมาโนช ชูทับทิม นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องประกาศปรับขึ้นราคาขายไข่ไก่เพราะต้นทุนต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาอาหารสัตว์ ที่แม้กรมการค้าภายในประกาศเป็นสินค้าควบคุม และต้องขออนุญาตก่อนขึ้นราคา แต่ผู้ค้าได้ขึ้นราคาขายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย. 2565 ปรับขึ้นอีกกิโลกรัม (กก.) ละ 60 สตางค์ ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงขยับขึ้นมาอยู่ที่ฟองละ 3.20 บาทสำหรับผู้เลี้ยงรายย่อย จากเดือน มี.ค.ที่ต้นทุนฟองละ 2.94 บาท แต่แม้ประกาศปรับขึ้นราคาเป็นฟองละ 3.50 บาท แต่ราคาขายจริงขึ้นอยู่กับการเจรจาของผู้ซื้อและผู้ขาย ถ้าเป็นลูกค้าประจำก็ขายที่ฟองละ 3.40 บาท
ทั้งนี้ ต้องการให้กระทรวงพาณิชย์เร่งพิจารณาแก้ปัญหาราคาวัตถุดิบ และอาหารสัตว์โดยเร็ว โดยกลุ่มผู้ใช้ และผู้ผลิตอาหารสัตว์ได้ยื่นข้อเสนอการแก้ปัญหาไป 3 ข้อ แต่จากการประชุมร่วม 4 ฝ่าย ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับผู้ผลิตอาหารสัตว์ เกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ และเกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์ เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2565 รัฐพิจารณาเพียง 1 ข้อ คือ ลดภาษีนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวสาลี ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) เป็น 0% และให้นำเข้าได้ 3.8 แสนตัน จากที่เสนอไป 1.5 ล้านตัน ส่วนการลดสัดส่วน 1 ต่อ 3 ที่กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์นำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ต้องซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 3 ส่วน และลดภาษีนำเข้าถั่วเหลือง 2% รัฐไม่ได้พิจารณา
“อยากให้กระทรวงพาณิชย์แก้ปัญหาโดยเร็ว เพราะแม้จะประชุม 4 ฝ่ายไปแล้ว แต่ยังไม่มีการนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพด (นบขพ.) และคณะกรรมการอาหาร เพื่อพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะกลุ่มผู้เลี้ยงปศุสัตว์ ทั้งไก่เนื้อ ไก่ไข่ หมู ไม่อยากขึ้นราคาขายซ้ำเติมค่าครองชีพคนไทยอีกแล้ว แต่ถ้าไม่ขึ้นราคา เราก็อยู่ไม่ได้” นายมาโนชกล่าว
นายสุเทพ สุวรรณรัตน์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคใต้ กล่าวว่า สาเหตุที่ไข่ไก่ปรับขึ้นราคา เนื่องจากปัญหาต้นทุนการเลี้ยงและอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นมาตลอด โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ จากภาครัฐเลย ประกอบกับช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาเกิดสภาพอาอากาศแปรปรวนหนัก มีอากาศร้อนจัด สลับกับเกิดพายุฝน ทำให้ผลผลิตเสียหาย แม่ไก่ไม่ออกไข่ หรือบางส่วนก็ล้มป่วยตายไป จนทำให้ปริมาณผลผลิตไข่ลดลงไปประมาณ 10%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ประกาศราคาแนะนำขายหมูเป็น (หน้าฟาร์ม) ประจำวันพระที่ 16 เม.ย. 2565 อยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 96-98 บาททั่วประเทศ ส่วนราคาแนะนำขายส่งอยู่ที่กก.ละ 150-156 บาท และราคาแนะนำขายปลีกอยู่ที่ กก.ละ 190-196 บาท เพิ่มขึ้นจากวันพระที่ 9 เม.ย. 2565 ที่หมูเป็นอยู่ที่ กก.ละ 92-96 บาท ราคาแนะนำขายส่งอยู่ที่ กก.ละ 147-153 บาท และราคาแนะนำขายปลีกอยู่ที่ กก.ละ 182-192 บาท เพื่อลดภาวะขาดทุนจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ด้านกรมการค้าภายในแจ้งแนวโน้มราคาจำหน่ายเนื้อสุกรชำแหละมีการปรับขึ้นราคาจากช่วงเทศกาลสงกรานต์อีก กก.ละ 5 บาท โดยเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2565 ราคาเนื้อสันนอกอยู่ที่ 185-195 บาท ปัจจุบันปรับขึ้นมาอยู่ที่ 190-200 บาทต่อ กก. เนื้อแดง สะโพก ปรับจาก 180-185 บาทต่อ กก. เป็น 180-190 บาทต่อ กก. และสามชั้นปรับจาก 205-225 บาท เป็น 210-230 บาท