xs
xsm
sm
md
lg

RATCH ทุ่ม 3 หมื่นล้านรุกโรงไฟฟ้า ชี้ปีนี้มี EBITDA เพิ่มอีก 3,000 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ราช กรุ๊ปตั้งงบลงทุน 3 หมื่นล้านบาทในปี 65 เน้นขยายธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มอีก 700 เมกะวัตต์ เผยอยู่ระหว่างการเจรจา M&A ราว 5 โครงการ ลั่นปีนี้บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้นอีก 2,500-3,000 ล้านบาทจาก 6 โรงไฟฟ้าที่บริษัทได้ลงทุนและจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ในปีนี้

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 30,000 ล้านบาทเพื่อใช้ลงทุนขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าราว 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการใหม่ 26,500 ล้านบาท และโครงการเดิม 1,500 ล้านบาท ส่วนงบลงทุนในธุรกิจอื่นนอกภาคการผลิตไฟฟ้าเป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการใหม่ 1,400 ล้านบาท และโครงการเดิม 600 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มอีก 700 เมกะวัตต์ เป็นโครงการประเภทเชื้อเพลิงฟอสซิลไม่น้อยกว่า 450 เมกะวัตต์ และโครงการประเภทพลังงานทดแทนไม่น้อยกว่า 250 เมกะวัตต์ ทำให้สิ้นปี 2565 มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนเพิ่มเป็น 9,815.14 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าปีละ 700 เมกะวัตต์ไปถึงปี 2568 เพื่อให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 10,000 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าที่จะเข้ามาเพิ่มใหม่ในปีนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ทั้งในและต่างประเทศอย่างน้อย 5 โครงการ มีทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังลม โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานใต้พิภพ นอกจากนี้ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่เป็น Greenfield แต่จะไม่มีการลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหิน คาดว่าจะชัดเจนในปีนี้


"ในปี 2564 บริษัทฯ สามารถเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจได้เป็นอย่างดีและใช้เงินลงทุนรวม 12,459.49 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจำนวน 7,366.29 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนโครงการใหม่ และโครงการเดิม จำนวน 5,803.62 ล้านบาท และ 1,562.67 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า ใช้เงินลงทุนรวม 5,093.20 ล้านบาท โดยเป็นโครงการใหม่ จำนวน 4,537.10 ล้านบาท และโครงการเดิม 556.10 ล้านบาท ในด้านกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯ ในปี 2564 เพิ่มขึ้น 1,212 เมกะวัตต์ ทำให้สิ้นปี 2564 บริษัทมีกำลังการผลิตรวมเป็น 9,115.04 เมกะวัตต์"

นางสาวชูศรีกล่าวว่า ในปี 2565 บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จาก 6 โครงการที่ลงทุนและดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 1,376.89 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย กลุ่มโรงไฟฟ้าสหโคเจน กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 124.95 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว ในประเทศอินโดนีเซีย 145.15 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าเน็กส์ซีฟ ราช ระยอง 45.08 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน ในประเทศอินโดนีเซีย 930.78 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ในประเทศเวียดนาม 15.15 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย 31.19 เมกะวัตต์ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน 1 ที่บริษัทฯ ได้ลงทุนเพิ่มเติมเมื่อปลายปีที่แล้วที่กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 86.20 เมกะวัตต์ด้วย ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง จะเริ่มเปิดให้บริการบางส่วนในเดือนสิงหาคม และโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งในสปป.ลาว จะเริ่มดำเนินการผลิตในไตรมาส 4/65 นี้เพื่อจำหน่ายให้กับบริษัท Kyuden Mirai Energy Co., Ltd ปีละ 100,000 ตัน ภายใต้สัญญาซื้อขายระยะเวลา 15 ปี ส่งผลให้บริษัทมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ในปีนี้เพิ่มขึ้น 2,500-3,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มการลงทุนกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนปีละ 250 เมกะวัตต์ และจะต้องเพิ่มขึ้นให้ถึง 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 และ 4,000 เมกะวัตต์ในปี 2578 ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และ 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตามลำดับ กอปรกับแผนการปลูกและอนุรักษ์ป่าไม้ ที่จะดำเนินการตั้งแต่ปี 2565-2577 พื้นที่รวม 50,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 670,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า


ส่วนแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 14,500 ล้านบาท เป็น 22,192.30 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 769.23 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน มีมูลค่าเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น รวมทั้งการวิเคราะห์ตลาดการเงิน เชื่อว่าการออกหุ้นเพิ่มทุนนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นที่ผันผวน เพราะการขายหุ้นเพิ่มทุนเป็นการขายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นเดิม

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 7,772.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.6% เปรียบเทียบกับปี 2563 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.36 บาท โดยมีรายได้รวม 44,293.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1%


กำลังโหลดความคิดเห็น