xs
xsm
sm
md
lg

“จุรินทร์” ดันโครงการ “จับคู่กู้เงิน” ช่วยผู้ประกอบการลุยตลาด RCEP

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“จุรินทร์” เปิดโครงการ “จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP” ดึง EXIM BANK ปล่อยกู้ผู้ประกอบการไทยลุยเจาะตลาด RCEP มี บสย.ช่วยค้ำ เผยเงื่อนไขผ่อนปรนมาก ดอกเบี้ย 2.75% ปีแรก วงเงินรายละไม่เกิน 50 ล้าน มีคำตอบให้ภายใน 7 วัน เตรียมวงเงินไว้ 3,000 ล้านบาท พร้อมเดินสายต่อใน 4 ภูมิภาค ช่วยผู้ประกอบการในต่างจังหวัด

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP” ที่กระทรวงพาณิชย์ ว่า โครงการนี้ถือเป็นนโยบายหนึ่งของกระทรวงพาณิชย์ที่ได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นเจ้าภาพร่วมกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งมีทั้ง SMEs วิสาหกิจชุมชน สตาร์ทอัพ และอื่นๆ ได้มีโอกาสได้สินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรนพิเศษไปต่อยอด เพื่อบุกตลาด RCEP นำเงินเข้าประเทศต่อไปภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงเอกชนและสถาบันการเงิน

การจัดทำโครงการดังกล่าว เป็น Lot ที่ 3 หลังจากก่อนหน้านี้ดำเนินการมาแล้ว 2 Lot โดย Lot 1 จับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับร้านอาหาร ได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงินหลายแห่งมาช่วยต่อลมหายใจในรูปแบบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเงื่อนไขพิเศษ และมี บสย.มาช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ต.ค. 2564 สามารถปล่อยกู้ให้กับร้านอาหารทั่วประเทศได้ถึง 2,895 ราย วงเงิน 2,627 ล้านบาท และ Lot ที่ 2 จับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก ช่วงเดือน ก.ค. 2564-28 ก.พ. 2565 ปล่อยกู้ได้ 611 ราย วงเงิน 4,000 กว่าล้านบาท

ทั้งนี้ ต้องขอบคุณ EXIM BANK ที่เงื่อนไขผ่อนปรนมาก และดอกเบี้ยปกติในตลาดประมาณ 5.75% แต่โครงการนี้เหลือแค่ 2.75% ต่อปีในปีแรก วงเงินรายละไม่เกิน 50 ล้านบาท และที่สำคัญทันทีที่รับคำขอจะมีคำตอบใน 7 วันทำการ ได้เตรียมวงเงินไว้กว่า 3,000 ล้านบาท และโครงการครั้งนี้ยังมี บสย.มาช่วยค้ำประกันให้ ภายใต้เงื่อนไขของบริษัทที่ผ่อนปรน ที่สำคัญจะไม่จัดเฉพาะวันนี้ จะมีการเดินสายทั้งในกรุงเทพฯ และ 4 ภูมิภาคด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้ SMEs สตาร์ทอัพในต่างจังหวัดได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้คล่องตัวสะดวกขึ้น และจะมีระบบออนไลน์ในการยื่นเงื่อนไขเพื่อให้สะดวกขึ้นด้วย

สำหรับความตกลง RCEP ได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2565 แม้จะมีบางประเทศที่ยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการดำเนินการภายในประเทศ และคาดว่าจะมีผลใช้บังคับครบทั้ง 15 ประเทศโดยเร็ว ซึ่ง RCEP เป็น FTA ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรรวมกันประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรโลก GDP ประมาณ 1 ใน 3 ของ GDP โลก ที่สำคัญการค้าทั้งหมดของไทยที่มีกับโลกเป็นการค้าของไทยกับกลุ่มประเทศ RCEP 14 ประเทศ ถึงกว่าครึ่งหนึ่ง การเตรียมการสำหรับการบุกตลาดอย่างเป็นรูปธรรมมีความสำคัญในการนำรายได้เข้าประเทศต่อไป และทันทีที่ RCEP บังคับใช้ สินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสมาชิก 39,366 รายการ ภาษีจะเป็น 0% และเป็น 0% ทันทีถึง 29,891 รายการ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลที่ไทยจะได้รับ


กำลังโหลดความคิดเห็น