นโยบายเปิดประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ยกเลิกการกักตัวสำหรับผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย โดยจะต้องเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศมาจากประเทศที่ถูกจัดเป็นกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ 46 ประเทศ และมีหลักฐานปลอดเชื้อโควิด มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป แม้ว่าการเปิดประเทศครั้งนี้มีความเสี่ยงที่จะเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องยอมรับและต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ให้ได้ เพื่อช่วยภาคการท่องเที่ยวและภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหลังเดือดร้อนมานาน
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่รัฐมีนโยบายเปิดประเทศ ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติจำนวนมากแสดงเจตจำนงพร้อมที่จะเดินทางมาไทยเพื่อลงทุนทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเด่นชัดในปีหน้า ขณะที่ยอดการขายที่ดินนิคมฯ จะเพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายปี 2564 ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้ขายที่ดินในนิคมฯ เพิ่มขึ้น 400 กว่าไร่ให้แก่ลูกค้า 2 ราย ขณะที่กลุ่มทุนทั้งจีน ไต้หวัน และประเทศในโซนยุโรปก็ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ
การเปิดประเทศช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่นักลงทุนต่างชาติต้องการย้ายฐานจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยมาก สืบเนื่องจากขณะนี้จีนมีปัญหาการขาดแคลนพลังงานจนต้องจำกัดหรือแบ่งการใช้ไฟฟ้า เป็นผลสืบเนื่องจากจีนต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้าแทนการใช้ถ่านหิน ดังนั้นในอนาคตต้นทุนค่าพลังงานของจีนจะแพงขึ้น ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้กลุ่มทุนจีนและประเทศอื่นๆ ย้ายฐานการผลิตมายังไทยและเวียดนาม ขณะที่ปัจจัยสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ยังเป็นตัวกดดันทำให้มีการเคลื่อนย้ายฐานทุนจากจีนอยู่
อุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนในนิคมฯ ดับบลิวเอชเอ มีทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ คอนซูเมอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากจีนที่เพิ่งเปิดตัวรถอีวีในไทย
นางสาวจรีพรกล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคงเป้าหมายการขายที่ดินในนิคมฯ ไว้ที่ 820 ไร่ แบ่งเป็นการขายที่ดินในไทย 750 ไร่ และเวียดนาม 70 ไร่ ปรับลดลงจากต้นปีนี้ที่เคยตั้งเป้าการขายที่นิคมฯ ไว้ 1,030 ไร่ สาเหตุที่ปรับลดเป้าหมายลงมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เวียดนามทำให้มีการล็อกดาวน์ประเทศ ส่งผลต่อการส่งมอบที่ดินเพื่อพัฒนานิคมฯ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล-เหงะอาน เฟส 2 ล่าช้าไป ดังนั้นบริษัทจึงได้ลดเป้าการขายที่ดินในเวียดนามปีนี้ลงจากเดิม 300 ไร่เหลือเพียง 70 ไร่ แต่เพิ่มเป้าหมายการขายที่ดินนิคมฯ ในไทยขึ้นจาก 720 ไร่ เป็น 750 ไร่ ซึ่งเมื่อมีการเปิดประเทศคาดว่ายอดขายที่ดินในไทยอาจสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ก็ถือเป็นโบนัส
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เวียดนามดีขึ้นแล้ว โดยเมืองเหงะอานที่บริษัทเข้าไปลงทุนได้เริ่มเปิดเมืองแล้ว มั่นใจว่าปี 2565 จะเข้าไปพัฒนาพื้นที่นิคมฯ เฟส 2 ได้
WHA ตั้งงบลงทุนปี 65 แตะ 1 หมื่นล้าน
ดังนั้น ปี 2565 WHA มีความมั่นใจว่ายอดขายที่ดินในนิคมฯ ทั้งไทยและเวียดนามเพิ่มมากกว่าปีนี้แน่นอน ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทำแผนแต่เชื่อมั่นว่าน่าจะเพิ่มได้ 20-30%
ส่วนงบลงทุนในปี 2565 อาจแตะ 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่บริษัทได้ปรับลดงบลงทุนลงมาเหลือเพียง 6 พันล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 9 พันล้านบาท เนื่องจากปี 2565 บริษัทจะใช้เงินในการพัฒนาที่ดินในนิคมฯ แห่งใหม่ทั้งในไทยและเวียดนาม รวมทั้งใช้ในธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานด้วย
ปัจจุบันบริษัทมีแลนด์แบงก์ในไทยราว 1 หมื่นไร่ ส่วนเวียดนามมีแลนด์แบงก์ประมาณ 2 หมื่นไร่ที่รัฐบาลเวียดนามให้สิทธิบริษัทในการพัฒนานิคมฯ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอการส่งมอบพื้นที่ คาดว่าปีหน้า WHA จะเข้าไปพัฒนานิคมฯ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล-เหงะอาน เฟส 2 ส่วนอีก 2 นิคมฯ ใหม่ คือ WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa และโครงการ WHA Northern Industrial Zone ในจังหวัดถั่งหัว ก็อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตต่างๆ คาดว่าปี 2565 จะเรียบร้อย และจะเปิดขายพื้นที่ได้ในปีถัดไป
สำหรับผลดำเนินงานในปี 2564 WHA มั่นใจมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติจะสูงเป็นประวัติการณ์ ด้วยอัตราการเติบโตกว่า 30% จากปีก่อน โดยที่ยังคงระดับความสามารถในการทำกำไรสูงด้วยกำไรจากการดำเนินการก่อนหักค่าใช้จ่าย (EBITDA) มากกว่า 40% เป็นผลจากไตรมาส 4 นี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากการโอนที่ดินที่มากขึ้นและมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART)
ปัจจุบัน WHA มีนิคมฯ ทั้งสิ้น 12 แห่ง โดยตั้งอยู่ในประเทศไทย 11 แห่ง และเวียดนามอีก 1 แห่ง นอกจากนี้ ยังกำลังพัฒนานิคมฯ แห่งใหม่เพิ่มอีก 3 โครงการในไทย และอีก 2 โครงการในเวียดนาม โดยนิคมฯ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) พื้นที่ 1,498ไร่ ได้รับการอนุมัติให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจากอีอีซี คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้หรือต้นปีหน้า รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ หุ่นยนต์ การบิน และโลจิสติกส์
AMATA เร่งโอนที่ดิน ดันเป้าขายปีนี้ 650 ไร่
ด้านบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ยอดขายที่ดินในนิคมฯ ทั้งไทยและเวียดนามไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ล่าสุดบริษัทตัดสินใจหั่นเป้าหมายยอดขายที่ดินในประเทศไทยปีนี้ลงเหลือ 650 ไร่จากเดิมที่ตั้งไว้ 950 ไร่ แบ่งเป็นการขายที่ดินในนิคมฯ อมตะซิตี้ ชลบุรี ลดเหลือ 100 ไร่ และนิคมฯ อมตะไทย-จีน 100 ไร่ แต่ยังคงเป้าหมายการขายที่ดินในนิคมฯ อมตะซิตี้ ระยองไว้เท่าเดิมที่ 450 ไร่
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่ดิน (Pre-Land Sale) ราว 443 ไร่ แบ่งเป็นที่ดินที่ขายได้แล้วในครึ่งปีแรก 343 ไร่ มาจากการขายที่เวียดนาม 212 ไร่ และไทย 131 ไร่ แต่ดำเนินการโอนไปแล้วเพียง 68 ไร่ ขณะเดียวกันลูกค้าส่งเอกสารยืนยันการซื้อที่ดินมาแล้วกว่า 100 ไร่ ทำให้มียอดขายรอโอน (backlog) อยู่ที่ 2,051 ล้านบาท คาดว่าจะโอนในปีนี้ได้ราว 50-60% ส่วนการขายที่ดินในนิคมฯ ที่ประเทศเวียดนาม 212 ไร่นั้น คาดว่าจะทยอยโอนเพื่อรับรู้รายได้ในปี 2564
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) กล่าวว่า บริษัทคาดยอดขายที่ดินและเช่าที่ดินในครึ่งหลังปี 2564 จะดีขึ้น หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมนั้นยืนยันว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นในนิคมฯ อมตะชลบุรี และนิคมฯ อมตะระยอง เป็นไปได้ยาก เพราะที่นิคมฯ อมตะชลบุรีมีเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ที่ระบายลงสู่ทะเล ส่วนนิคมฯ อมตะระยองมีพื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก
บริษัทมั่นใจว่าการขายที่ดินจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้ว่าในครึ่งปีแรกนี้บริษัทดำเนินการโอนที่ดินนิคมฯ ในไทยไปแล้วเพียง 68 ไร่ ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ได้โอนไป 187 ไร่ก็ตาม
ROJNA โดดชิมลางธุรกิจกัญชง
บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) (ROJNA) ได้แตกไลน์การลงทุนธุรกิจใหม่ ล่าสุดกระโดดเข้าลงทุนในธุรกิจกัญชง โดยบริษัทฯ ใช้เงินราว 51 ล้านบาทเพื่อเข้าถือหุ้น 51% ในบริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด
นายคณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากวิสัยทัศน์ในการแสวงหาโอกาสการลงทุนธุรกิจใหม่เพื่อสร้างความมั่นคงธุรกิจและผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น จึงเป็นเหตุผลในการตัดสินใจร่วมทุนกับบริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่มีใบอนุญาตครบวงจรในการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ ปลูก ผลิต จำหน่ายสารสกัด CBD จากกัญชง โดยเป็นเพียงรายเดียวที่ได้ใบอนุญาตส่งออก และมีกลุ่มลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ
ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติเงินลงทุนเฟสแรกจำนวน 250 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตสารสกัด CBD 9 ตันต่อปี รองรับความต้องการของตลาดที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งบริษัทมีแผนพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ฯลฯ บริษัทคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจกัญชงตั้งแต่ปี 2565 ตั้งเป้าปีละ 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติมจำนวน 6 แห่ง และเปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษจำนวน 1 แห่งตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและรองรับการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ราว 1.6 หมื่นไร่ เพียงพอรองรับการลงทุนได้เพียง 5 ปีเท่านั้น
การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการอุตสาหกรรมรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 5 แห่ง เป็นของ ROJNA ถึง 2 โครงการ คือ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พื้นที่ 698 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การบินและโลจิสติกส์ และนิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี พื้นที่ 1,501 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การบินและโลจิสติกส์ ซึ่งนิคมฯ ทั้ง 2 แห่งนี้จะสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้บริษัทในอนาคต
ดังนั้นในปีหน้าจะเห็นการเติบโตของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมอย่างมีนัยจากนโยบายเปิดประเทศ หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และเป็นด่านหน้าในการดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง