“ทูตพาณิชย์ลอสแองเจลิส” เผยสภาสูงสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปสาธารณูปโภคพื้นฐาน และส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ชี้เป็นโอกาสในการส่งออกซีเมนต์และคอนกรีตของไทยเพื่อป้อนความต้องการใช้ปรับปรุงสาธารณูปโภคให้ทันสมัย แต่ต้องระวังในเรื่องการผลิตต้องไม่กระทบสิ่งแวดล้อม
นางขวัญนภา ผิวนิล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแองเจลิส สหรัฐฯ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้สภาสูงสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปสาธารณูปโภคพื้นฐาน Infrastructure Investment and Job Act มูลค่า 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และส่งต่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เปิดโอกาสให้พรรคเดโมแครตบรรจุงบประมาณมูลค่า 3.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเข้าไปในร่างกฎหมาย เพื่อให้สามารถผ่านร่างกฎหมายในวงเงินงบประมาณสำหรับนโยบายส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจผ่านทางการปฏิรูปสาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วประเทศตามที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต้องการ
สำหรับเป้าหมายของร่างกฎหมาย Infrastructure Investment and Job Act คือการปรับปรุงสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ทันสมัย ทั้งถนน สะพาน ท่าเรือ ในวงเงินงบประมาณ 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การขนส่งทางรถไฟประมาณ 66,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ระบบเส้นทางทางน้ำ 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ระบบการขนส่งสาธารณะ 39,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และ broadband 65,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมที่จะดำเนินงานทันทีที่ร่างกฎหมายผ่านออกมาเป็นกฎหมายสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม มีมุมมองต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ 1. ผู้ไม่สนับสนุน ให้ความเห็นว่า จะทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่สภาวะขาดดุลงบประมาณ 256,000 ล้านเหรียญสหรัฐนานหลายทศวรรษ และทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อในระยะยาว 2. ผู้สนับสนุน มองว่าจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านการสร้างงานให้คนอเมริกันและการลดแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อในระยะยาว 3. ผู้มีความเห็นกลาง มองว่าร่างกฎหมายยังไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเรื่อง Climate Change และการเพิ่มรายได้ครัวเรือน
นางขวัญนภากล่าวว่า Infrastructure Bill คือหนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีแนวคิดและแผนการจัดทำกฎหมาย 2 ส่วน คือ Infrastructure Investment and Job Act ที่เป็นความเห็นพ้องต้องกันของ 2 พรรคการเมืองในการจัดสรรงบประมาณในวงเงิน 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และ FY2022 Budget Resolution Agreement Framework ที่เป็นความต้องการของพรรคเดโมแครตที่จะจัดสรรเงิน 3.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุนนโยบาย Build Back Better ของประธานาธิบดี ซึ่งพรรคเดโมแครตมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะผ่านกฎหมายการใช้งบประมาณจำนวนนี้ออกมาให้ได้แม้ว่าจะในวงเงินที่ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้
ทั้งนี้ สำนักงานมองว่านโยบายปฏิรูปและปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ คือโอกาสของสินค้าหลากหลายชนิด ที่สำคัญที่สุดคือ สินค้าซีเมนต์และคอนกรีตที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของการก่อสร้าง รวมถึงสินค้าวัสดุก่อสร้างอื่นๆ โดยผู้แทนบริษัท SCG Trading USA ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันตลาดสหรัฐฯ มีความต้องการปูนซีเมนต์ขาวเพื่อใช้ฉาบสระว่ายน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่ผู้คนเริ่มใช้ชีวิตที่บ้านมากขึ้น จึงนิยมปรับปรุงซ่อมแซมและตกแต่งบ้านอยู่เสมอ ทำให้มีความต้องการนำเข้าเพิ่มมากขึ้น โดยมีไทยเป็นหนึ่งในแหล่งอุปทานปูนซีเมนต์ขาวรายสำคัญ ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นลำดับที่ 15 โดยอุตสาหกรรมการผลิตซีเมนต์และคอนกรีตได้ชื่อว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมออกมาเป็นจำนวนมาก หากสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย Border Adjustments Tax หรือ Carbon Tax ออกมา อาจกระทบต่อภาคการผลิตของประเทศผู้ส่งออก และจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าดังกล่าวมายังสหรัฐฯ ได้ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยจึงพึงระวังและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวอย่างใกล้ชิด