ส.อ.ท.แนะรัฐปรับแผน Factory Sandbox เน้นดูแลภาคอุตสาหกรรมให้เป็นคลัสเตอร์ ป้องกันโควิด-19 ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วน ขนส่ง เหตุดูเฉพาะต้นน้ำไม่ตอบโจทย์ หวังให้การผลิตต่อเนื่องหลังออเดอร์พุ่ง พร้อมช่วยดูแลต้นทุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะค่า ATK พร้อมหนุนสร้างศูนย์พักและคัดกรองแรงงานต่างด้าวหลังขาดแคลนแรงงาน 4 แสนคน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้คำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากต่างประเทศยังคงมีมาต่อเนื่องหลังจากเศรษฐกิจต่างประเทศเริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะจากคู่ค้าหลักทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมถึงจีนเพื่อป้องกันการผลิตไม่ให้สะดุดในการขับเคลื่อนการส่งออกที่เหลือของไทยในช่วงท้ายปีนี้ ภาครัฐควรปรับโครงการนำร่องการป้องกันและการควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) ที่ยังไม่ตอบโจทย์การป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยแท้จริง เนื่องจากมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้ผลิตเพื่อส่งออกขนาดใหญ่ (แรงงาน 500 คนขึ้นไป) 4 ประเภท ได้แก่ 1. ยานยนต์ 2. ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 3. อาหาร และ 4. อุปกรณ์การแพทย์ซึ่งจำเป็นต้องมองให้ครบกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ หรือคลัสเตอร์
“ตัวอย่างยานยนต์ จะเห็นว่าต้องหยุดผลิตเพราะการติดโควิคของแรงงานในบริษัทชิ้นส่วนรถยนต์ ดังนั้น Factory Sandbox ระยะแรกที่เน้น 4 อุตฯ หลัก และ 4 จังหวัดนำร่อง คือ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และชลบุรี ต้องปรับมาตรการให้ครบทั้งคลัสเตอร์เพราะการผลิตต้องอาศัยชิ้นส่วน การขนส่ง เป็นองค์ประกอบ โดยต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ครบ 100% และหากเป็นไปได้ก็ควรจะขยายมาตรการนี้ไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้มากขึ้น เพราะการผลิตเพื่อส่งออกมีหลายอย่าง และมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจซึ่งต้องเร่งปกป้อง เพราะส่งออกเป็นเพียงกลไกเดียวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้” นายเกรียงไกรกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ล้วนดำเนินมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal) อยู่แล้ว และพบว่ามีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นมากจากการทำสถานแยกกักตัว (FAI) โดยเฉพาะค่าชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) จึงเห็นว่ารัฐควรจะแบ่งเบาภาระส่วนนี้โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) โดยการแจกให้ฟรี หรือการจัดหาเพิ่มเติมในราคาที่ต่ำเช่นที่องค์การเภสัชกรรมประมูลได้ในราคา 70 บาทต่อชุด โดยหาให้เพิ่มขึ้น หากไม่สามารถแจกฟรีก็ให้คิดราคาเพียง 50% ส่วน 50% รัฐสนับสนุนจนกว่ารัฐจะสามารถฉีดวัคซีนได้เป็นจำนวนมากเพียงพอในการป้องกันดูแล
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภาคการผลิตกำลังประสบภาวะการขาดแคลนแรงงานประมาณ 4 แสนคน โดยเฉพาะใน 4 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทอรนิกส์ เครื่องมือแพทย์โดยเฉพาะถุงมือยาง ที่ต้องการแรงงานเข้มข้น จึงเห็นว่ารัฐควรเจรจานำเข้าแรงงานจากเพื่อนบ้านเข้ามาโดยมีเงื่อนไขให้รับรองการฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็มจากนั้นเข้ามาอยู่ในศูนย์พักและคัดกรองแรงงานหรือ Labor Workforce Sandbox ที่จัดไว้รองรับบริเวณชายแดนเพื่อกักตัวก่อน แล้วโรงงานใดต้องการให้ติดต่อมาแล้วนำรถมารับแล้วเข้าสู่โรงงานทันที วิธีนี้จะป้องกันการแพร่ระบาดและป้องกันการลักลอบนำเข้าแรงงานเถื่อน กรณีที่หากแรงงานต่างด้าวยังไม่ฉีดวัคซีน เอกชนบางส่วนก็พร้อมที่จะจัดหาวัคซีนทางเลือกให้ด้วย ซึ่งขณะนี้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ตอบรับแนวคิดดังกล่าวแล้ว
สำหรับการปรับมาตรการล็อกดาวน์ ล่าสุดนายเกรียงไกรกล่าวว่า เห็นด้วย แต่แนวทางปฏิบัติควรจะต้องดำเนินการได้จริงเช่นกัน โดยเฉพาะการกำหนดให้พนักงานร้านอาหารต้องฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม ซึ่งต้องเข้าใจว่าส่วนหนึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรวัคซีน ดังนั้นแนวทางปฏิบัติต้องกำหนดให้ชัดเจน