กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยญี่ปุ่นเสนออาเซียนนำนวัตกรรมและแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืนมาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมชนบท และเขตเมือง หวังช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 เตรียมเสนอรัฐมนตรีหารือกันต่อ ก.ย.นี้ พร้อมรับข่าวดีอินโดนีเซียจะให้สัตยาบัน AKCEP ฉบับปรับปรุง คาดหนุนการค้า บริการ ลงทุน สมบูรณ์ขึ้น
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นผ่านระบบการประชุมทางไกลเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า อาเซียนและญี่ปุ่นได้ติดตามความคืบหน้าและหารือประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น การยกระดับแผนปฏิบัติการด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และข้อเสนอของญี่ปุ่นเรื่องการใช้นวัตกรรมพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนภายหลังโควิด-19
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้เสนอให้อาเซียนร่วมจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจเรื่องการเติบโตด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำนวัตกรรมและแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืนมาช่วยยกระดับการพัฒนาใน 3 ด้าน ได้แก่ อุตสาหกรรม การพัฒนาเขตชนบท และการพัฒนาเขตเมือง เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้พ้นวิกฤตโควิด-19 ได้ดีและเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบที่จะหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นหารือระดับรัฐมนตรีในเดือนหน้า
ส่วนความคืบหน้าของแผนปฏิบัติการด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นเพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีการจัดทำโครงการในภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด 92 โครงการ เป็นโครงการที่ทำกับภาคธุรกิจไทย 22 โครงการ หรือร้อยละ 24 และโครงการความร่วมมือของธุรกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งหมด 40 โครงการ เป็นโครงการทำกับไทยจำนวน 9 โครงการ หรือร้อยละ 22.5 เพื่อช่วยผลักดันการอำนวยความสะดวกทางการค้าต่างๆ ซึ่งญี่ปุ่นได้มีข้อเสนอใหม่เพื่อช่วยปรับปรุงและยกระดับแผนปฏิบัติการปัจจุบันให้มีประโยชน์มากขึ้น และยังสอดคล้องกันกับแผนการใช้นวัตกรรมเป็นเครื่องมือด้วย
นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ยังมีข่าวดีเรื่องการให้สัตยาบันต่อพิธีสารการขยายความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ให้ครอบคลุมเรื่องการค้าบริการ การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา และการลงทุน จากเดิมเป็นเพียงการเปิดตลาดการค้าสินค้า โดยอินโดนีเซียแจ้งว่าได้ดำเนินกระบวนการภายในใกล้เสร็จแล้ว และคาดว่าจะสามารถให้สัตยาบันก่อนการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นในเดือน ก.ย. 2564 ทำให้ AJCEP ช่วยส่งเสริมการค้า การค้าบริการ การลงทุนได้สมบูรณ์ทุกประเทศ
นอกจากนี้ กัมพูชายังได้แจ้งว่าจะเร่งกระบวนการภายในเพื่อให้สามารถบังคับใช้ตารางการลดภาษี (TRS) ในระบบ HS2017 ให้ทันก่อนการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนด้วย
ในปี 2563 ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของอาเซียน มีมูลค่าการค้ารวม 204,034 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยอาเซียนส่งออกไปญี่ปุ่นมูลค่า 102,422 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากญี่ปุ่นมูลค่า 101,612 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการค้าไทยกับญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 30,197 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2 โดยสินค้าที่ไทยได้ประโยชน์จากกรอบความตกลง AJCEP เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เคมีภัณฑ์อินทรีย์ ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม เครื่องหอมหรือเครื่องสำอาง เครื่องหนังและสารฟอกหนัง