กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผย “เครื่องสำอางไทย” ได้รับความนิยมในตลาดคู่เจรจาเอฟทีเอ พบมีสัดส่วนการส่งออกกว่า 80% ของการส่งออกทั้งหมด เหตุได้อานิสงส์ลดภาษีนำเข้า ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ระบุอาเซียน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง และจีนเป็นตลาดสำคัญ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกสินค้าเครื่องสำอางของไทย เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและตกแต่งหน้า สบู่ แชมพู ผลิตภัณฑ์เพื่ออนามัยในช่องปากและฟัน และวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องสำอาง พบว่ามีการส่งออกไปยัง 18 ประเทศคู่เจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) รวมกันในแต่ละปีมีสัดส่วนสูงกว่า 80% ของการส่งออกสินค้าเครื่องสำอางทั้งหมด โดยในช่วงปี 2560-62 ไทยส่งออกไปยัง 18 ประเทศคู่เอฟทีเอเฉลี่ยรวมปีละ 2,431 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ต่อปี มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาเซียน (ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และลาว) ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง และจีน
ส่วนในปี 2563 การส่งออกลดลงเล็กน้อยเพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยส่งออกไป 18 ประเทศคู่ค้าเอฟทีเอ มูลค่า 2,445 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 10% และในช่วง 2 เดือนปี 2564 (ม.ค.-ก.พ.) ส่งออกไป 18 ประเทศคู่เอฟทีเอ มูลค่า 388 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 2% แต่เมื่อพิจารณารายสินค้า พบว่าสินค้าหลายรายการยังคงเติบโต โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มดูแลรักษาสุขภาพอนามัย เช่น สบู่ เพิ่ม 3% ผลิตภัณฑ์เพื่ออนามัยในช่องปาก เพิ่ม 12% ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เพิ่ม 3% และสินค้ากลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องสำอาง เช่น สิ่งปรุงแต่งที่ใช้หล่อลื่น เพิ่ม 6% สารให้กลิ่นหอม เพิ่ม 21% และเอสเซนเชียลออยล์ เพิ่ม 11% เป็นต้น
สำหรับปัจจัยที่มีส่วนช่วยให้การส่งออกเครื่องสำอางขยายตัวดีขึ้น เป็นผลมาจากการเร่งรัดผลักดันการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ และยังได้รับผลดีจากเอฟทีเอที่เป็นเครื่องมือสำคัญอีกอันหนึ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโต เพราะช่วยขจัดอุปสรรคทางภาษีนำเข้า โดยปัจจุบัน 14 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และฮ่องกง ได้ยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางของไทยทุกรายการ เหลือเพียง 4 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ อินเดีย ชิลี และเปรู ยังคงการเก็บภาษีนำเข้าเครื่องสำอางในบางรายการ
ยกตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้ เก็บภาษีนำเข้าเอสเซนเชียลออยล์จากโสมแดง 603.4% สบู่และแชมพู 5% อินเดีย เก็บภาษีนำเข้าวัตถุดิบทำเครื่องสำอางประเภทสารที่มีกลิ่นหอม 5% ชิลี เก็บภาษีนำเข้าวัตถุดิบทำเครื่องสำอางประเภทสารลดแรงตึงผิว 1.3% และจะลดภาษีเป็น 0% ในปี 2566 และเปรู เก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและตกแต่งหน้า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเส้นผม น้ำหอมและหัวน้ำหอม 6% และภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) เกาหลีใต้ จะลดภาษีเพิ่มเติมให้ไทย โดยสบู่เหลวจะทยอยลดภาษีจนเหลือ 0% ในปีที่ 15 และสบู่ก้อนและแชมพูจะทยอยลดภาษีจนเหลือ 0% ในปีที่ 20 หลังจากที่ความตกลงมีผลบังคับใช้
“ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาสนใจเรื่องการรักษาผิวพรรณ สุขอนามัย และภาพลักษณ์ ทำให้แนวโน้มความต้องการสินค้าเครื่องสำอางในตลาดโลกเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสทองของไทยที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งเครื่องสำอางไทยมีศักยภาพในการแข่งขัน มีความแปลกใหม่ และมีส่วนผสมของสมุนไพรที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยเชื่อมั่นว่าศักยภาพที่แข็งแกร่งของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทย ผนึกกับการเร่งรัดผลักดันการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ และการมีข้อได้เปรียบด้านภาษีภายใต้เอฟทีเอ จะช่วยเพิ่มโอกาสทำให้มูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางของไทยเพิ่มขึ้นและขยายตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น” นางอรมนกล่าว